เรารู้กันดีว่า พฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่มีผลต่อการเรียนรู้และเลียนแบบพฤติกรรมของลูกน้อย แต่อาจลืมคิดไปว่า ไม่ใช่แค่พฤติกรรม แต่คำพูดของคุณพ่อคุณแม่ ก็มีส่วนในการกำหนดลักษณะนิสัยและ ปรับพฤติกรรมลูก ได้เช่นกัน
ดังนั้น เมื่อต้องการ ปรับพฤติกรรมลูก นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองแล้ว Mehezabin Dordi นักจิตวิทยาคลินิก แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟูและเวชศาสตร์การกีฬา โรงพยาบาล Sir HN Reliance Foundation ยังกล่าวว่า “การสื่อสารกับลูกเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรใส่ใจ ที่จะสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้ลูก ใช้การสื่อสารเชิงบวก ซึ่งมีสองแขนงใหญ่ๆ หนึ่ง—คือการพูดให้กำลังใจหรือชื่นชมลูก สอง—คือการรับฟังลูกอย่างเข้าใจ สองสิ่งนี้จะทำให้ลูกรู้สึกมีคุณค่า มีความมั่นใจในตัวเอง และสร้างลักษณะนิสัยเชิงบวกสำหรับลูกในอนาคตด้วย”
การพูดเชิงบวกถึงเปลี่ยนนิสัยของลูกได้จริงไหม ?
1. สารความเครียดในสมอง – งานวิจัยหลายชิ้นกล่าวว่า การที่คุณพ่อคุณแม่ใช้คำพูดเชิงบวกกับลูกจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองให้กับลูกได้ แต่ในทางกลับกัน คำพูดเชิงลบของคุณพ่อคุณแม่เพียงคำเดียว อาจเพิ่มการผลิตสารเคมีที่กระตุ้นความเครียดในสมองของลูก ทำให้ลูกเป็นเด็กไม่มีความสุข เก็บกด และนำไปสู่นิสัยก้าวร้าวได้
2. เด็กเรียนรู้จากพ่อแม่ – การตะคอกหรือใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิกับลูก อาจทำให้ลูกเชื่อฟังในระยะสั้น แต่ในระยะยาวลูกจะซึมซับและจดจำพฤติกรรมเหล่านั้น และอาจเริ่มมีนิสัยพูดจาไม่ดีกับพ่อแม่ รวมถึงพูดจาก้าวร้าวใส่คนอื่นด้วย
ใช้คำพูดเชิงบวกกับลูกอย่างไรดี ?
การใช้คำพูดเชิงบวก ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจลูก ใช้น้ำเสียงที่ไม่ดุดัน น้ำเสียงเชิงตำหนิ หรือแสดงความเบื่อหน่าย แต่ควรพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงที่จริงใจและใส่ใจความรู้สึกของลูกอย่างที่สุด
ตัวอย่างการพูดกับลูกเชิงบวก เช่น
1. เมื่อลูกโกรธ
แทนที่จะตวาดให้ลูกอยู่เฉยๆ หรือใช้เสียงดังถามลูกว่า “ทำไมถึงพูดกับแม่อย่างนี้” ลองเปลี่ยนเป็น “พ่อกับแม่รู้ว่าลูกโกรธแค่ไหน” หรือ “ตอนนี้ลูกกำลังโกรธมาก บอกพ่อแม่ได้ไหมว่าทำไมโกรธขนาดนี้” เพื่อให้ลูกได้พูดระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา
2. เมื่อลูกไม่เชื่อฟัง
แทนที่จะพูดว่า “แม่บอกกี่ครั้งแล้ว!” หรือ “พ่อจะเตือนให้ใส่รองเท้าอีกรอบเดียวเท่านั้นนะ…” ลองเปลี่ยนเป็นการพูดและอธิบายเหตุผลว่าทำไมลูกถึงควรทำตามที่คุณพ่อคุณแม่บอก เช่น “พ่ออยากให้ลูกเตรียมตัวใส่รองเท้า เพราะอีกไม่เกินห้านาทีเราจะออกจากบ้านกันแล้ว”
3. เมื่อลูกร้องไห้
แทนที่จะตำหนิลูกว่า “เรื่องแค่นี้ ร้องไห้ทำไม” หรือออกคำสั่ง “หยุดร้องเดี๋ยวนี้!” ลองเปลี่ยนเป็นแสดงความเข้าอกเข้าใจ เช่น “แม่เข้าใจว่าลูกกำลังเผชิญกับความรู้สึกที่ยาก แต่แม่อยู่ข้างๆ ลูกนะ”
4. เมื่อลูกมีความลับ
แทนที่จะคาดคั้นให้ลูกบอก หรือพูดว่า “เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่ามีความลับกับพ่อแม่นะ”ลองเปลี่ยนเป็น “ลูกมีเรื่องที่ไม่อยากบอกพ่อแม่ แปลว่าลูกกำลังโตขึ้นแล้ว ลูกอยากจัดการสิ่งที่คิดด้วยตัวเอง ลูกปรึกษาเพื่อนหรือคุณครูได้ แต่เมื่อไหร่ที่ลูกเจอปัญหา ลูกบอกพ่อแม่ได้เสมอ”
COMMENTS ARE OFF THIS POST