16 Episode หรือกว่าสี่เดือนที่รายการมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ ไทยแลนด์ (ซีซั่นหนึ่ง) ออกอากาศ เราได้เห็นความสามารถในการทำอาหารของเด็กอายุ 8-13 ปี ที่ต้องรับมือกับโจทย์ที่คาดเดาไม่ได้ เวลาที่จำกัด ความอดทนและจิตใจแข็งแกร่งของเด็กๆ เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่กดดัน ชนิดที่ผู้ใหญ่หลายคน แค่เอาใจช่วยก็ลุ้นจนเหนื่อยและเสียน้ำตากันมาแล้ว
ในที่สุด รายการก็ได้ผู้ชนะเป็น น้องแพทตี้—ด.ญ. ชนัญชิดา พงศ์เพ็ชร (วัย 10 ขวบ) เด็กผู้หญิงผมยาวที่พูดจาฉะฉานทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ มาพร้อมกับทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ว่าจะทำอะไรผิดพลาด เธอก็มีสติและแก้ไขได้ทันเวลาทุกครั้ง
เรานัดเจอน้องแพทตี้กับ คุณพ่อ—พันตรี กิตติพงศ์ บัวลอย และ คุณแม่—นภัสกร พงษ์เพ็ชร ที่บริษัทเฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป (ผู้ผลิตรายการมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ ไทยแลนด์) ในช่วงบ่ายของวันคริสต์มาสที่ผ่านมา น้องแพทตี้มาในชุดสีแดง สวมหมวกแก๊ปหันปีกหมวกไว้ด้านหลัง เหมือนที่เห็นในรายการ จนอดไม่ได้ที่จะถามว่า ใส่หมวกแบบนี้เป็นสไตล์ส่วนตัวของเธอหรือเปล่า
และแน่นอน เราได้คำตอบเสียงดังฟังชัดจากเด็กน้อยมหัศจรรย์คนนี้ว่า “ใช่แล้วค่ะ”

“มีวันนึงค่ะ ตอนสองทุ่ม หนูกำลังจะเข้านอน แต่หนูเล่นเฟซบุ๊กอยู่ แล้วก็เห็นว่ามีรับสมัครมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ แต่ว่ามันคือพรุ่งนี้แล้ว หนูก็รีบไปบอกคุณแม่ว่าเราต้องไปกันเลย!”
ตั้งแต่น้องไปแข่งในรายการ น่าจะมีคนถามเยอะว่าครอบครัวเลี้ยงน้องมายังไง
แม่: ก็ต้องเริ่มจากบ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่นะคะ มีคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็น้อง แล้วตัวแม่เองก็มีน้องสาว น้องชาย แพทตี้ก็เลยเหมือนเป็นน้องคนเล็กคนเดียวในบ้าน คือเป็นเด็กที่โตมากับผู้ใหญ่ รอบตัวเขาก็จะมีแต่ผู้ใหญ่ และเขาก็ซึมซับการเลี้ยงดูของคุณตาคุณยายเป็นส่วนมาก
คุณพ่อเป็นทหารแล้วก็ค่อนข้างเคร่งครัด
แม่: ใช่ค่ะ คุณพ่อเขาก็จะเน้นเรื่องวินัย เรื่องการออกกำลังกาย สุขภาพต้องแข็งแรง แล้วก็เป็นคนสร้างวินัยให้เขาตั้งแต่เล็กๆ แพทตี้ก็เลยเป็นเด็กที่โตมาค่อนข้างที่มีซีเควนซ์ (sequence) เป็นของตัวเอง เขาจะจัดลำดับการทำอะไรได้ดี

แล้วบทบาทของคุณแม่
แม่: คอยซัพพอร์ตเรื่องทั่วไปค่ะ เรื่องส่วนตัว เรื่องการบ้าน เรื่องพาไปโรงเรียนอะไรอย่างนี้ แต่บ้านเราไม่มีเรียนพิเศษนะคะ อยากให้เขาเลิกเรียนกลับมาแล้วรีแลกซ์ ได้กลับบ้านมาทำกิจกรรม พาหมาไปเดินเล่น วิ่งเล่น พวกนี้เป็นกิจวัตรประจำวันของเขา แต่เราจะไม่เคยบอกว่าเขาต้องเป็นอะไร แต่จะคอยส่งเสริมสนับสนุนด้านที่ลูกชอบและถนัด เพราะเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง มันทำให้เขามีเป้าหมาย มีแพสชั่น มีความตั้งใจ และมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ แพทตี้ถึงได้เป็นเด็กที่ตั้งใจกับทุกอย่างที่เขาชอบหรือสนใจ
แต่เป็นครอบครัวที่ไม่เน้นให้ลูกเรียนพิเศษ
แม่: ที่จริงมันก็แล้วแต่ครอบครัวนะคะ เราไม่ได้คิดว่าเรียนพิเศษไม่ดี แต่ว่าครอบครัวเราอยากให้เขาใช้ช่วงเวลาของความเป็นเด็กให้มากที่สุด ให้เขาทำอะไรที่เขาอยากทำ ให้เล่น ให้ออกกำลังกาย… จริงๆ ออกกำลังกายเขาก็ไม่ค่อยชอบหรอก แต่คุณพ่ออยากให้ทำ (หัวเราะ)

คุณพ่อให้น้องเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมอะไรบ้าง
แม่: ตีแบดฯ ไปวิ่ง ขับโกคาร์ต ยิงปืน พวกกิจกรรมแอดเวนเจอร์ต่างๆ
แล้วมาเริ่มมีการทำอาหารตอนไหน
แม่: เรื่องทำอาหารเขาคงได้มาจากที่บ้านเราชอบทำอาหาร คือเป็นครอบครัวที่ชอบกิน (หัวเราะ) คุณแม่ก็ชอบทำอาหาร คุณยายก็ชอบทำอาหาร พอ 5 ขวบเขาก็เริ่มเดินตามเข้าครัวแล้ว แม่ก็ให้เขาลองเด็ดผัก ลองช่วยทำนั่นทำนี่นิดหน่อย และด้วยความที่บ้านเราชอบกิน ชอบหาของอร่อยกิน เราก็จะพาเขาไปกินตามร้านอาหารบ่อยๆ เขาก็เลยได้กินอาหารที่หลากหลาย และจากการเดินทางด้วย เวลาพาเขาไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เขาก็จะชอบกินอาหาร พอรู้จักอาหารเยอะ เขาก็เริ่มกลับมาหาหนังสือดูบ้าง ดูยูทูบบ้าง แล้วก็เริ่มอยากทำเอง เริ่มมาบอกคุณแม่ว่าซื้ออันนั้นให้หน่อย ซื้ออันนี้ให้หน่อย คือบอกให้แม่ซื้อพวกอุปกรณ์ทำอาหาร แล้วแม่ก็ปล่อยให้เขาทำ แต่อุปกรณ์ที่ใช้ก็เป็นพวกที่เด็กสามารถทำได้ ไม่เน้นพวกของมีคมมาก ช่วงแรกๆ น้องก็เริ่มต้นแบบนี้

คุณแม่เห็นแววหรือเป็นเพราะน้องแสดงออกว่าชอบการทำอาหาร
แม่: เขาแสดงออกชัดมากว่าเขาชอบ เมนูแรกที่ทำสำเร็จคืออะไรนะคะ (หันไปถามน้องแพทตี้)
แพทตี้: ออมเล็ตค่ะ
แม่: แล้วมันเป็นยังไงบ้างคะ
แพทตี้: ไหม้ค่ะ! (หัวเราะ)
ตอนนั้นกี่ขวบคะ
แพทตี้: 5 ขวบค่ะ
แม่: ตอนนั้นเขาอยากทำ แม่ก็ปล่อยให้เขาทำ แต่ว่าคอยยืนดูอยู่ใกล้ๆ พอมันเสียหรือมันไหม้ ก็ให้เขาเรียนรู้ว่า อ๋อ ถ้าทิ้งไว้นาน มันก็จะไหม้แบบนี้นะ เขาก็จะหาทางพัฒนาของเขาเอง แล้วพอทำได้เขาก็ยิ่งชอบ
จากออมเล็ตวันแรก น้องเริ่มทำอาหารจริงจังและคิดว่าจะแข่งขันตั้งแต่เมื่อไหร่
แม่: น่าจะสักสองปีที่แล้วค่ะ คือตอนแรกที่เราเห็นว่าเขาชอบทำอาหาร เขาก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีเทคนิคมากมายอะไร แต่ประมาณสองปีที่แล้ว เขาเริ่มอยากลองทำอะไรที่มันยากขึ้น อยากรู้ลึกขึ้น เขาก็ไปหาพวกหนังสือคุกบุ๊ก หายูทูบมาลองทำตาม
เริ่มจากฝึกทำอาหารตามหนังสือและยูทูบด้วยตัวเองก่อน
แม่: ใช่ค่ะ จริงๆ ตอนไปแข่งในรายการเขายังไม่เคยไปเรียนอะไรเพิ่มเติมเลย เพิ่งมาเรียนเพิ่มตอนที่เข้าถึงรอบประมาณสิบคนสุดท้าย ถึงได้มีเพื่อนคุณพ่อมาช่วยสอนวิธีทำอาหารที่มันยากขึ้น เทคนิคซับซ้อนขึ้น

เป็นเพราะมีคุณแม่ทำอาหารเก่งด้วยหรือเปล่า
แม่: ไม่เก่งนะคะ แม่แค่ชอบทำมากกว่า
พ่อ: เป็นแนวเอาตัวรอดในชีวิตประจำวัน (หัวเราะ)
แม่: อย่างพวกศัพท์เทคนิคหรือวิธีทำอะไรยากๆ แม่ก็เพิ่งรู้จักจากเขา คำว่าซูวี (Sous- Vide) ก็เพิ่งรู้จากเขา เพราะปกติเราทำอาหารที่บ้าน มันก็ไม่มีอะไรแบบนี้ มีแต่แกงหม้อ ผัดกระทะ แล้วใส่จานก็จบ แต่ที่แพทตี้ทำเขาจะหัดทำพวกอาหารไฟน์ไดนิ่งที่มีการจัดจานสวยงาม
เห็นการพยายามเรียนรู้ของน้องแล้วคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนอย่างไรบ้าง
แม่: เอาเป็นตั้งแต่วันนี้แล้วกันเนอะ คือเขาก็เคยบอกว่าเขาอยากเป็นเชฟมิชลินสตาร์ ตอนนี้ก็เหมือนเราได้เห็นความสามารถของเขาชัดขึ้น เขาก็เริ่มอยากไปเรียนเพิ่มเติม เราก็พร้อมสนับสนุน แล้วก็มีพวกอุปกรณ์ทำอาหารที่เขามาขอให้ซื้อเพิ่ม (หัวเราะ)
ทำไมน้องถึงอยากไปสมัครแข่งมาสเตอร์เชฟฯ
แพทตี้: เพราะว่าหนูชอบดูรายการนี้อยู่แล้วค่ะ ดูตั้งแต่ตอนที่หนูอยากให้มีรายการนี้ในประเทศไทย
แม่: เขาดูของต่างประเทศมาก่อน
แพทตี้: แล้วมีวันนึงค่ะ ตอนสองทุ่ม หนูกำลังจะเข้านอน แต่หนูเล่นเฟซบุ๊กอยู่ แล้วก็เห็นว่ามีรับสมัครมาสเตอร์เชฟจูเนียร์ แต่ว่ามันคือพรุ่งนี้แล้ว หนูก็รีบไปบอกคุณแม่ว่าเราต้องไปกันเลย! (น้ำเสียงตื่นเต้น) แล้วก็เตรียมตัวทำของไปสมัครเลยค่ะ
หนูทำเมนูอะไรไปสมัครคะ
แพทตี้: หนูทำไปเป็นคอร์สเลยค่ะ มีเฟรชสลัดกับน้ำสลัดวาซาบิทำเอง แล้วก็สเต๊กเนื้อริบอาย ซอสจิ้มแจ่วเรดไวน์ ผักเป็นหน่อไม้ฝรั่ง แคร์รอต มะเขือเทศเชอร์รี่ แล้วก็ของหวานเป็นเสาวรสพาย
แม่: อันนี้คือรอบแรก แล้วเขาก็ผ่านรอบแรก รอบสอง จนมาถึงรอบออดิชั่น ที่ต้องมาตัดสินใจกันว่าจะเอายังไง เพราะว่าครอบครัวเราแพลนจะไปเที่ยวเกาหลี 8 วัน ซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แต่วันที่ไปกับรอบออดิชั่นมันตรงกัน

“ตอนแรกเราไม่ได้มองเห็นความฝันเขาใหญ่ขนาดนั้น เราบอกเขาว่าปีหน้าค่อยไปสมัครใหม่ ปีหน้าก็มี อายุหนูก็ยังได้ เขาก็บอกว่า แล้วถ้าปีหน้าหนูไม่ผ่านล่ะ”
แล้วใครเป็นคนตัดสินใจว่าจะอยู่แข่งต่อ
แม่: แพทตี้ก็บอกว่าหนูขอตัดสินใจ หนูขอไปแข่ง เพราะหนูไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าหนูพลาดครั้งนี้ หนูอาจจะไม่มีโอกาสแล้ว ตอนแรกเราไม่ได้มองเห็นความฝันเขาใหญ่ขนาดนั้น เราบอกเขาว่าปีหน้าค่อยไปสมัครใหม่ ปีหน้าก็มี อายุหนูก็ยังได้ เขาก็บอกว่า แล้วถ้าปีหน้าหนูไม่ผ่านล่ะ เราก็เลยโอเค ทิ้งตั๋วกันหมดเลยทั้งบ้าน เราให้สิทธิ์เขาตัดสินใจเต็มที่ เพราะคุยกับเขาแล้วว่าถ้าจากรอบนี้ไปแล้วเขาไม่ผ่าน อย่างน้อยเขาก็เป็นคนตัดสินใจเอง เราก็ไม่ได้ไปทำลายความฝันของเขา
ถ้าวันนั้นแพทตี้เลือกอยากไปเที่ยวมากกว่า
แม่: แม่ก็โอเค ก็ตามใจเขา เพราะตอนสมัครเราก็ไม่ได้เป็นคนไปบอกให้เขาสมัคร ที่จริงเขาเป็นเด็กไม่ชอบการแข่งขันด้วยซ้ำ แต่รายการนี้เป็นรายการแรกที่เขาอยากสมัคร เพราะตั้งแต่เขาดูของต่างประเทศ เขาบอกตลอดว่าหนูอยากให้มีรายการนี้ในประเทศไทย หนูอยากไป ตอนแรกเขาบอกว่าขอแค่ได้ผ้ากันเปื้อนก็พอใจแล้ว แต่พอได้ผ้ากันเปื้อนแล้ว ความฝันเขาก็ค่อยๆ กว้างขึ้น เริ่มขยับไปไกลขึ้น
แพทตี้: หนูมีความคาดหมาย (คุณแม่แซวว่าต้องเรียกว่า ‘คาดหวัง’ หรือเปล่า)
แม่: ภาษาเขาจะแปลกๆ หน่อยนะคะ (หัวเราะ)

“เราบอกเขาทุกรอบ ถ้าหนูมีสติ เวลามีปัญหาหนูจะผ่านมันไปได้ แต่ถ้าหนูไม่มีสติ ไม่โฟกัสกับมันแล้ว ก็จบ แต่ไม่เป็นไรนะ เราก็แค่ออกจากการแข่งขันเท่านั้นเอง”
พอไปแข่งจริงๆ แล้ว คุณพ่อคุณแม่คิดว่าน้องได้อะไรจากการแข่งขันครั้งนี้
แม่: ได้หลายอย่างมาก รู้สึกคุ้มมาก (หัวเราะ)
พ่อ: อย่างน้อยก็ความนิ่งของเขา
แม่: บางทีเรายังคิดว่า เราเป็นผู้ใหญ่ ถ้าไปอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เราคงทิ้งหมดแล้ว ไม่เอาแล้ว ทำต่อไม่ได้แน่ๆ ไหนจะต้องโฟกัสกับอาหารที่ทำ ไหนกรรมการจะคอยเดินมาถาม มาพูด แล้วเจอปัญหาในเวลาที่จำกัดแบบนั้น ถ้าเป็นเราคงทำไม่ได้แน่ แต่เขาก็เรียนรู้ เขารู้จักการใช้สติ เพราะเราบอกเขาทุกรอบ ถ้าหนูมีสติ เวลามีปัญหาหนูจะผ่านมันไปได้ แต่ถ้าหนูไม่มีสติ ไม่โฟกัสกับมันแล้ว ก็จบ แต่ก็ไม่เป็นไรนะ เราก็แค่ออกจากการแข่งขันเท่านั้นเอง
รอบแรกๆ น้องอาจจะไม่ได้คาดหวัง แต่พอเข้ารอบลึก คิดว่าคงเริ่มมีความหวังบ้างครอบครัวมีการเตรียมใจหรือบอกให้น้องเผื่อใจไว้บ้างไหม
แม่: บอกทุกรอบค่ะ (หัวเราะ) ตั้งแต่ก่อนเข้าแข่งขัน เราคุยกันแล้วว่าถ้าผลออกมาไม่ดี หนูจะไม่เสียใจใช่ไหม เขาก็บอกว่า มันต้องมีเสียใจนิดๆ ค่ะ แต่ว่าเขาจะไม่เสียดาย เขามาขนาดนี้มันเกินฝันไปมาก ที่จริงมันเกินฝันตั้งแต่ที่เขาได้ผ้ากันเปื้อนแล้ว
พ่อ: พอประกาศว่าเขาผ่านมารอบนึง เราก็จะบอกเขาว่า อาทิตย์หน้าไม่แน่นะลูก หนูต้องเตรียมใจไว้หน่อย พูดอย่างนี้ทุกอาทิตย์ จนเขาเริ่มหงุดหงิดว่าป๊าพูดอะไรของป๊าเนี่ย (หัวเราะ)
แม่: เขาเป็นคนชอบให้กำลังใจตัวเอง บางทีแม่เห็นเขาบอกตัวเองว่าแพทตี้สู้ๆ แต่เราก็คอยถามเขาว่า ถ้าหนูมั่นใจเกินไป พอทำไม่ได้แล้วหนูจะเสียใจไหม เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เขาต้องมั่นใจไว้ก่อน เหมือนที่เห็นในรายการ เขาจะชอบบูสต์พลังอะไรของเขาไปเรื่อย
มีรอบไหนที่แพทตี้คิดว่าตัวเองอาจจะแพ้ไหมคะ
แพทตี้: ตีนเป็ดค่ะ
แม่: น่าจะเพราะว่าเขาไม่เคยกิน แล้วก็ไม่เคยเจอ บ้านเราก็ไม่เคยทำด้วย
พ่อ: แต่เขาเคยกินขาห่านอบหม้อดิน ก็เลยคิดว่าเขาเอาจากอันนั้นมาพัฒนา
ในมุมของคุณพ่อคุณแม่ เคยสงสัยไหมว่าตอนไหนที่ลูกยังสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ หรือเมื่อไหร่ที่เขาเบื่อ
พ่อ: บอกเลยว่าต้องลองดูเขาไปเรื่อยๆ ผมว่าเราคาดคะเนไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาชอบทำตอนนี้มันจะถาวรหรือเปล่า
แม่: แต่ยังไงบ้านเราก็ให้อิสระทางความคิดกับเขา ถ้าเขาอยากทำอะไร เราก็จะให้เขาลอง สมมติเขาอยากตีแบดฯ เราก็ให้ลอง แต่จะชอบหรือไม่ชอบก็แล้วแต่เขา ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ
พ่อ: โมเมนต์หลักๆ ของบ้านเราจะอยู่ที่โต๊ะอาหาร เวลาอาหารเหมือนเป็นเวลาของครอบครัว แล้วคุณตาเขาเนี่ย… คือต้องเล่าก่อนว่า แพทตี้เขาเรียกคุณตาว่าแด๊ด เรียกคุณยายว่ามี้ แล้วเวลาที่เขาไปพูดในรายการว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อมี้ ไม่ได้หมายถึงแม่นะ เขาหมายถึงคุณยาย (หัวเราะ)
คือบนโต๊ะอาหารเราจะมีพวกอาหารรสชาติเผ็ดหรือรสชาติแปลกๆ ซึ่งปกติเด็กทั่วไปจะปฏิเสธอาหารที่ไม่เคยกินใช่ไหม แต่คุณตาเขาจะบอกว่า หนูน่าจะลองให้รู้ก่อน ถ้าลองแล้วไม่ชอบค่อยคายทิ้งไป
แม่: แพทตี้ถึงเป็นเด็กที่กินได้ทุกอย่าง และเขาจะชอบลองกินเพื่อให้รู้จักวัตถุดิบที่จะเอามาทำอาหาร เขาชอบรู้จักอะไรที่มันหลากหลาย
กลับมาเรื่องวินัยที่คุณพ่อพยายามเน้น
พ่อ: ก็ยังเน้นครับ เพราะถ้าปล่อย วินัยเขาจะเสีย ที่บ้านพอสองทุ่มครึ่งผมก็จะถามแล้วว่า แพทตี้อาบน้ำรึยัง ทานวิตามินรึยัง ทำการบ้านรึยัง
แม่: เป็นแบบนี้ตั้งแต่เล็กๆ พอเริ่มโต เขาก็จะมีวินัยให้ตัวเอง คือรู้ว่าเวลาไหนต้องทำอะไร แล้วนิสัยเรื่องความรับผิดชอบมันก็จะติดตัวเขาไป สมมติว่าเขาไปโรงเรียนแล้วลืมเอาการบ้านไป เขามาบอก ป๊าเอาการบ้านมาให้หนูหน่อย ป๊าก็จะบอกว่าไม่ ลืมก็คือลืม เขาจะได้รู้ว่าถ้าเขาลืมเอาการบ้านไปโรงเรียน เขาจะไม่มีส่ง แล้วคุณครูจะดุ ต่อไปจะได้ไม่กล้าลืมแล้ว
แพทตี้: หนูไม่เคยลืมแล้ว

เห็นพูดในรายการว่าโดนคุณพ่อซ่อมทุกวัน
แพทตี้: กระโดดเชือกพันครั้ง เป็นการทำโทษเวลาหนูขี้เกียจทำการบ้านอะไรแบบนี้
แม่: มีโดนสควอชบ้าง แทงปลาไหลบ้าง คุณพ่อชอบใช้วิธีเหมือนฝึกทหาร
แพทตี้: เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว หนูทำไม่ไหว
ในรายการจะเห็นว่าน้องเป็นเด็กที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีและมีความเป็นผู้นำสูง คุณพ่อคุณแม่คิดว่าน้องมีนิสัยแบบนี้เพราะอะไร
แม่: บุคลิกเขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดนะคะ เวลาอยู่ที่โรงเรียนเขาก็ชอบเป็นผู้นำ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นทีมดีที่ เป็นผู้ตามที่ดี แต่เรื่องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าบางอย่างเราก็เพิ่งได้เห็นในรายการนี่แหละ บางทีเรามานั่งดูยังตกใจ เราเองยังร้องไห้เลยว่าลูกไปเจอปัญหาเยอะแบบนี้เลยเหรอ เพราะว่าตอนเข้าไปแข่ง ผู้ปกครองไม่เคยได้เข้าไปเห็น แล้วเขาแข่งออกมาก็ไม่ได้มาเล่าทั้งหมด ส่วนมากเรามาเห็นพร้อมกับคนดู ถึงรู้ว่า โอ้โห เขาเจอปัญหาแทบทุกวีกที่ไปแข่ง
แต่หนูดูไม่ตกใจ แล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะยอมแพ้
แพทตี้: หนูชินแล้ว
ก่อนไปแข่งหนูคิดไหมว่าจะต้องเจออะไรแบบนี้
แพทตี้: ไม่คิดเลยค่ะ เพราะว่าปกติหนูทำ มันก็ไม่เคยเกิดความผิดพลาด
แต่ดูเหมือนหนูจะรู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงทุกครั้ง, จริงๆ แล้วตกใจบ้างไหม
แพทตี้: จริงๆ ตอนแรกก็ตกใจแป๊บนึง แต่ว่าต้องรีบตั้งสติให้กลับมาทำต่อให้ได้
น้องมีสติและพูดจาฉะฉานแบบนี้มาตั้งแต่เล็กหรือว่าเพิ่งได้เห็นมุมนี้ของน้องในรายการ
แม่: ตอนเล็กๆ ที่เห็นชัดคือเขาพูดเก่ง ชอบพูด ชอบคุย ชอบเจอคนเยอะๆ แล้วก็ชอบคุยกับผู้ใหญ่ เพื่อนพ่อเพื่อนแม่ก็เหมือนเพื่อนเขา คิดว่าการที่เขาชอบเจอคน ชอบอยู่กับผู้ใหญ่ ก็อาจจะมีส่วนให้เขาเป็นแบบนี้ แต่เวลาอยู่กับเพื่อนวัยเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เขาก็จะเป็นอีกแบบนะคะ เขาก็มีความเฟรนด์ลี่ตามวัย แล้วนอกจากพูดเก่งเขาก็เข้ากับคนง่าย

นอกจากทำอาหารแพทตี้ชอบทำอะไรอีกคะ
แพทตี้: หนูชอบเรียนหนังสือ
แล้วพอมาแข่งมาสเตอร์เชฟฯ ได้ไปโรงเรียนตามปกติไหมคะ
แพทตี้: ก็มีบางครั้งต้องหยุดบ้างค่ะ แค่คุณครูเข้าใจ เพราะหนูบอกคุณครูไว้แล้ว
หนูต้องเรียนเก่งแน่เลย
แพทตี้: ค่ะ ได้ 3.9 (เขิน)
แม่: เขาเป็นเด็กชอบเรียนมาก ถ้าไม่มาแข่งทำอาหาร เขาก็เรียนอย่างเดียว คือเขาจะตั้งใจแล้วก็จริงจังกับทุกอย่าง คุณพ่อถึงต้องพยายามเสริมพวกกีฬา พวกกิจกรรมเวลากลับมาถึงบ้าน
แล้วมีอะไรที่หนูไม่ชอบบ้างไหมคะ
แพทตี้: กีฬาค่ะ (หัวเราะ)
แม่: นี่ไงพ่อถึงต้องพยายามเน้น
ทำไมถึงไม่ชอบเล่นกีฬาล่ะคะ
แพทตี้: มันไม่ใช่ตัวหนูค่ะ หนูเล่นไม่ได้เลย เวลาวิ่งก็เป็นที่โหล่ของชั้นตลอด
แล้วถ้าต้องเลือกเล่นกีฬาที่ชอบที่สุดล่ะคะ
แพทตี้: แบดมินตัน สนุกที่สุดแล้วค่ะ
เวลาหนูต้องเล่นกีฬาที่ไม่ชอบ หนูคิดว่ามันเป็นปัญหาไหม แล้วหนูแก้ปัญหายังไง
แพทตี้: หนูก็จะรู้สึกว่าโดนบังคับนิดนึง แต่หนูก็เล่นให้มันจบๆ ไป
แม่: แล้วหนูตั้งใจเล่นไหมคะ
แพทตี้: บางครั้งก็ตั้งใจ บางครั้งก็ไม่ตั้งใจ (หัวเราะ)
แล้วตั้งแต่มาแข่งมาสเตอร์เชฟฯ…
แพทตี้: ตั้งใจทุกรอบค่ะ (ตอบไว)
ก่อนที่จะไปแข่งรอบชิงชนะเลิศ หนูเตรียมตัวยังไงบ้าง
แพทตี้: ฝึกสมาธิให้ดีที่สุดค่ะ แล้วก็ความอดทน เพราะหนูรู้ว่ามันต้องเหนื่อยล้าแน่

หนูคิดเมนูสามจานสุดท้ายเองหรือเปล่าคะ
แพทตี้: หนูเป็นคนคิดไอเดียก่อน แล้วเพื่อนคุณพ่อก็มาช่วยเสริม
แม่: รอบชิงเป็นครั้งเดียวที่เราได้เตรียมตัวก่อนไปแข่ง คือได้คิดเมนูไปว่าจะทำอะไร เพราะก่อนหน้านั้นเขาต้องไปเห็นโจทย์แล้วก็คิดสดที่หน้างาน
ในสามจานสุดท้ายของตัวเองหนูชอบเมนูไหนที่สุด
แพทตี้: ชอบจานแรกที่เป็นห่อหมกปลาที่สุดค่ะ
แล้วโจทย์ที่ยากที่สุดในรายการ
แพทตี้: ตีนเป็ด! หนูไม่อยากทำอีกแล้ว! (เน้นเสียง)
ในรายการเวลาคิดเมนู หนูคิดไหมว่าทำแล้วจะต้องชนะเพื่อนแน่นอน
แพทตี้: หนูไม่ค่อยคิดว่าจะชนะเพื่อนเท่าไร เพราะว่าหนูก็ไม่แน่ใจจานของเพื่อน (หัวเราะ) แต่เวลาที่คิดเมนู หนูจะค่อยๆ ทำไปทีละอย่าง แล้วไอเดียมันก็จะออกมาเรื่อยๆ แล้วค่อยมาดูว่ามันจะออกมาเป็นเมนูอะไร
ค่อยๆ ทำไปก่อนแล้วค่อยมาสรุปสุดท้ายว่ามันจะเป็นเมนูอะไรเหรอคะ
แพทตี้: ใช่ค่ะ
พ่อ: เหมือนเวลาเขาเล่นจิ๊กซอว์ ที่บ้านเราจะชอบเล่นเกมพัซเซิล แล้วผมก็ชอบต่อโมเดล แพทตี้ก็จะมาคอยช่วย เขาจะเรียนรู้วิธีการที่เราค่อยๆ ต่อจากชิ้นนี้ไปเป็นชิ้นนี้ ผมว่ามันก็ช่วยฝึกเขาเรื่องการลำดับความคิดเวลาจะทำอะไร
พอรายการออกอากาศและน้องผ่านเข้ารอบมาเรื่อยๆ มีฟีดแบ็กอะไรกลับมาถึงครอบครัวบ้าง
แม่: เยอะมากเลยค่ะ ส่วนมากจะเป็นคนมาถามว่าเลี้ยงน้องยังไง ให้น้องเรียนอะไร แล้วเราก็ไม่รู้จะตอบยังไงจริงๆ
พ่อ: มันพูดยากนะ คือพื้นฐานของแต่ละครอบครัวมันไม่เหมือนกัน
แม่: คิดว่าคนที่จะรู้ว่าเราเลี้ยงยังไง ต้องเป็นคนที่สนิทกับครอบครัวเราจริงๆ แล้วเห็นกันมาตลอดว่าบ้านเราเป็นยังไง มีพื้นฐานยังไง แต่ถ้าให้เล่าก็คงอย่างที่บอกว่าเพราะน้องโตมากับครอบครัวใหญ่

“เราให้เขาแชร์ไอเดียได้ เวลาเขาเสนอความคิดอะไร ผู้ใหญ่ก็ต้องรับฟังด้วย แล้วเราก็จะเป็นผู้ฟังที่ดีให้เขาด้วย เขาก็เลยค่อนข้างมีความคิดเป็นของตัวเอง”
คิดว่าการอยู่ในครอบครัวใหญ่และใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ทำให้น้องมีความเป็นผู้ใหญ่
แม่: คิดว่ามีส่วนสำคัญเลย
แต่บางครอบครัวอาจจะกลัวว่า ยิ่งอยู่ในครอบครัวใหญ่ น้องจะยิ่งโดนโอ๋หรือโดนสปอยล์
แม่: คือบ้านเราค่อนข้างเลี้ยงแบบฝรั่ง เราให้เขาแชร์ไอเดียได้ เวลาเขาเสนอความคิดอะไร ผู้ใหญ่ก็ต้องรับฟังด้วย แล้วเราก็จะเป็นผู้ฟังที่ดีให้เขาด้วย เขาก็เลยค่อนข้างมีความคิดเป็นของตัวเอง
พ่อ: ที่สำคัญคือเราให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง มีโมเมนต์ที่ให้เขาเป็นลีดเดอร์ แล้วสิ่งที่เขาตัดสินใจ ถ้าเขาทำได้ เราก็ชมเชย แต่ถ้าเฟล ก็ต้องยอมรับมัน
ตั้งแต่ไปแข่งมาอะไรสนุกที่สุดในรายการ
แพทตี้: เพื่อนค่ะ
แม่: เวลาเขาออกมาเจอกันข้างนอก เขาก็เล่นกันทั้งวัน แม่รู้สึกว่าการแข่งขันของเด็กมันต่างกับผู้ใหญ่ตรงที่ เด็กจะต่างคนต่างตั้งใจทำเมนูของตัวเองให้สำเร็จ เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการแข่งขัน บรรยากาศในรายการมันเลยออกมาน่ารัก
พ่อ: ตอนแข่งวันสุดท้าย เห็นชัดมากว่ามันไม่ใช่การแข่งขัน
แม่: ใช่ค่ะ ขนาดเราอยู่ในสตูฯ วันนั้น พอกลับมาดูอีกครั้งยังร้องไห้เลย
ทำไมตอนนั้นแพทตี้ถึงอยากช่วยพี่มาร์คล่ะคะ
แพทตี้: หนูสงสารพี่มาร์ค (หัวเราะ) แล้วก็… เพราะหลายๆ รอบพี่มาร์คก็ช่วยหนู ตอนแข่งรอบทีมชาเลนจ์พี่มาร์คก็ช่วยได้เยอะมาก
ใจหนูตอนนั้นอยากให้พี่มาร์คทำอะไร
แพทตี้: อยากให้พี่มาร์คทำให้สำเร็จ

เวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนในรายการ มีการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องอาหารกันบ้างไหมคะ
แพทตี้: มีค่ะ เราแชร์กันตลอด แต่ถ้ามีอะไรที่หนูรู้มากกว่าเขา บางครั้งหนูก็ไม่ได้แชร์ (หัวเราะ)
พ่อ: เห็นชอบไปหลอกถามเขาก็มี (หัวเราะ)
หนูคิดว่าใครเก่งที่สุด หรือว่าหนูกลัวใครที่สุดในรายการ
แพทตี้: ไม่กลัวเลย หนูคิดว่าหนูไม่ได้แข่งกับใคร หนูแข่งกับตัวเอง ถ้าหนูกลัวคนอื่น มันจะทำให้หนูเสียความมั่นใจไปค่ะ
แล้ววันที่แข่งชิงชนะเลิศหนูมั่นใจไหมว่าจะชนะ
แพทตี้: คิดค่ะ คิดตั้งแต่จานแรก (หัวเราะ)
ตั้งแต่แข่งมา อาหารจานไหนที่หนูประทับใจมากที่สุด
แพทตี้: หนูชอบปูผัดผงกะหรี่ เอ๊ย! ไม่ใช่ค่ะ หนูชอบจานที่ทำในวันสุดท้าย เพราะมันทำให้หนูชนะ คือรายการนี้เขาวัดกันจานต่อจาน ไม่มีการสะสมบุญ คือถ้าที่ผ่านมาทำดี แต่วันสุดท้ายหนูทำพัง ก็ตายไปเลย
ถ้าไม่ชนะรายการนี้ หนูจะยังอยากเป็นเชฟมิชลินสตาร์อยู่ไหม
แพทตี้: อยากค่ะ ถ้าไม่ชนะหนูก็ต้องพยายามต่อไป แต่ชนะแล้ว… หนูก็ต้องพยายามต่อไป (หัวเราะ)
จบรายการแล้ว มีแพลนอยากจะทำอะไรต่อ
แพทตี้: อยากทำเชฟส์เทเบิ้ลค่ะ
วันที่ได้แชมป์หนูพูดในรายการว่า “หนูไม่ต้องบอกมี้แล้วว่าหนูอยากเป็นอะไร…” แล้วถ้าวันนั้นแพ้ หนูอยากจะพูดอะไร
แพทตี้: กลับบ้านนอนกันค่ะ
COMMENTS ARE OFF THIS POST