READING

INTERVIEW: คุยกับ ‘โจ๊ก โซคูล’ กับบทบาทความเป็นพ่อ...

INTERVIEW: คุยกับ ‘โจ๊ก โซคูล’ กับบทบาทความเป็นพ่อในแบบบร๊ะเจ้าโจ๊ก

โจ๊ก โซคูล

ห่างหายจากการสัมภาษณ์พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่มานาน พอใกล้ถึงช่วงเวลาวันพ่อ เราก็นึกอยากสัมภาษ์คุณพ่อเจ๋งๆ สักคน ไว้เป็นหมุดหมาย เอาฤกษ์เอาชัย และแรงบันดาลใจให้คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนที่อาจกำลังเหนื่อยล้ากับสารพัดเรื่องราวในชีวิต

แต่คำว่าคุณพ่อเจ๋งๆ ของแต่ละคน ความหมายย่อมไม่เหมือนกัน อาจหมายถึงคุณพ่อที่เท่ราวกับซูเปอร์ฮีโร่ คุณพ่อที่เข้มงวดและเด็ดขาดในการเลี้ยงลูก หรือจะเป็นคุณพ่อสายซัปฯ ที่คอยเป็นทุกอย่างให้ทุกคนในครอบครัว แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อนึกบรรดาคุณพ่อที่เจ๋งหรือโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งขึ้นมา ชื่อ โจ๊ก โซคูล—ก็ลอยทับซ้อนขึ้นมาพร้อมกับภาพจำใหม่ ไม่ใช่นักร้องถือไมค์ร้องเพลงร็อกอย่างที่เคยเห็น แต่กลับเป็นภาพของคุณพ่อที่กำลังสนุก (สุดเหวี่ยง) กับการร้องและเต้นเป็นเพื่อนลูกสาววัยกำลังโตทั้งสองคน

นี่คือชีวิตอีกด้าน ของโจ๊ก โซคูล หรือ กรภพ จันทร์เจริญ คุณพ่อแสนน่ารักของน้องยี่หวาวัย 13 ปี และน้องยูจินวัย 11 ปี ลูกสาวสองคนที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างงดงามด้วยการเลี้ยงดูของครอบครัวที่พร้อมจะส่งเสริมให้ลูกสนุกและมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองชอบ

ก่อนมีลูก คุณอยากเป็นคุณพ่อแบบไหน

ต้องบอกก่อนว่าผมมีลูกตอนอายุน้อย ก็จะคิดอะไรทื่อๆ ไม่ซับซ้อนและยังโลกสวย ตอนนั้นแค่คิดว่าถ้ามีลูกชายก็จะเตะบอลด้วยกัน เล่นอะไรผาดโผนด้วยกัน ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่รู้เพศลูกเลย แล้วตอนนั้นหลงตัวเองว่าเป็นคนดี​ (หัวเราะ) แล้วก็คิดแค่ว่าจะเลี้ยงลูกเป็นคนดีเหมือนเรา แต่ที่จริงตอนนั้นเราก็ไม่ได้เป็นคนดีนะ

แต่พอรู้ว่าเป็นลูกสาว…

พอรู้ว่าได้ลูกสาวก็ผิดแผนไปหมดเลย เพราะไม่เคยจินตนาการไว้ว่าเราจะเลี้ยงลูกสาวยังไง จากที่ไม่เคยคิดอะไรซับซ้อน แต่พอมีลูกจริงๆ มันยากกว่าที่คิด จากที่เคยได้นอนเยอะๆ ก็ต้องตื่นทุกชั่วโมง ผมคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การเลี้ยงลูก แต่เป็นการทำให้ครอบครัวบาลานซ์ ภรรยาจะเหนื่อยไหม จะดีใจไหม เราทำงานเยอะไปหรือเปล่า ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดไว้มาก่อน

แล้วรับมือกับสถานการณ์นั้นยังไง

ตอนนั้นแน่นอนว่าความพร้อมยังไม่มี แต่ความจริงแล้ว ผมก็เป็นคนที่ไม่พร้อมกับทุกเรื่องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะวุฒิภาวะ เรียนหนังสือก็ไม่ดี เป็นคนที่ไม่ค่อยคิดวางแผนอะไร ดังนั้นการมีครอบครัวก็ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผมได้ยินแต่คำขู่จากเพื่อนหลายคนมาตลอดว่าการเลี้ยงลูกมันเหนื่อยมากนะ แต่ข้อดีของผมคือเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวอะไร มันเลยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

“ผมไม่อยากเป็นคุณพ่อที่มีสถานะไปโรงเรียนแค่วันสำคัญ แต่อยากเป็นเพื่อนกับลูก”

สุดท้ายแล้วคิดว่าตัวเองเป็นคุณพ่อแบบที่คิดไว้ก่อนหน้านี้หรือเปล่า

เรากับภรรยาก็ตกลงกันว่าจะเลี้ยงลูกไปในทิศทางไหน แต่สุดท้ายโจทย์ที่เราตั้งไว้ก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เปลี่ยนไปตามวัย อย่างตอนที่ลูกเป็นเด็กเล็กเราก็ไปศึกษาข้อมูลว่าถ้าทิ้งลูกไว้กับหน้าจอจะทำให้สมาธิสั้น เราก็ประชุมกับภรรยาเลยว่าจะไม่ให้ลูกดูทีวีนะ แต่พอเขาเริ่มโตขึ้นมาอีกหน่อยเราก็ให้ดูเพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้บทเรียนต่างๆ แต่ก็มีการจำกัดเวลา พอเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเราก็จะปรับความเข้มข้นเหล่านั้นให้เจือจางลง และเน้นที่การเป็นเพื่อนลูกมากกว่า เราอยากให้ลูกไว้ใจและกล้าเล่าเรื่องต่างๆ ให้เราฟัง

ผมไม่ใช่คุณพ่อที่ดุและควบคุมลูกมาก ผมคิดว่าถ้าไปใช้คำสั่งกับลูกมากเกินไป เราอาจจะพลาดไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เขาอยากจะเล่า และลูกก็จะกลายเป็นสร้างกำแพงขึ้นมา เราจึงระมัดระวังเรื่องพวกนี้มาก ซึ่งผมไม่อยากเป็นคุณพ่อที่มีสถานะไปโรงเรียนแค่วันสำคัญ (หัวเราะ) แต่อยากเป็นเพื่อนกับลูก

ถ้าให้พูดถึงลูกสาวทั้งสองคน

มันจะมีบางอย่างที่ลูกทั้งสองคนเข้ากันมาก แต่ไลฟ์สไตล์บางอย่างก็คนละขั้วเลย เช่น บุคลิก น้องยี่หวาจะเป็นเด็กเรียบร้อย ไม่มีอะไรซับซ้อน ง่วงก็จะนอน หิวก็จะกิน เล่นคนเดียวได้ ขี้หลงขี้ลืมเหมือนผม แต่เขาจะมีทักษะด้านการร้องเพลงและเต้น ซึ่งผมค่อนข้างตกใจมากที่บางทีเขาสามารถแกะท่าเต้นยากๆ ได้ภายในเวลาแป๊บเดียว เหมือนพลังงานถูกถ่ายโอนมาทางนี้หมด

ส่วนยูจินจะเป็นเด็กที่พลังงานเยอะ แอกทีฟตลอดเวลา แต่บางทีเขาก็มีโมเมนต์ที่เหมือนผู้ใหญ่ ไม่ค่อยเล่นมือถือนาน แล้วก็ชอบซื้อหนังสือเกี่ยวกับพลังบวกของชีวิตมาอ่าน กลางคืนก่อนนอนก็เล่นโยคะ นั่งสมาธิ ซึ่งผมก็ค่อนข้างแปลกใจนะ เพราะมันไม่น่าใช่การใช้ชีวิตของเด็กประถม แต่มันดีนะ

ลูกทั้งสองคนเริ่มแสดงความชอบ หรือความสามารถของตัวเองตั้งแต่ตอนไหน

ถ้าถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ค่อนข้างดูยากนะ อย่างตอนเล็ก บางทีเขาก็เหมือนจะชอบร้องเพลง เสียงก็พอใช้ได้ เราก็ต้องมานั่งวิเคราะห์แล้วว่าลูกจะเอาจริงเอาจังหรือไม่ เมื่อวานถามอยากเป็นนักร้องไหมก็บอกว่าอยาก แต่พอวันนี้ถามก็บอกว่าไม่อยากเป็นแล้ว จนเวลาผ่านไปเรารู้แล้วว่าลูกชอบร้องเพลงแน่ๆ เราก็ผลักดันส่งเสริมลูกไป

“ผมเคยคิดว่าสกิลการร้องเพลงของยี่หวาก็พอใช้ได้ประมาณหนึ่ง และคิดว่าน่าจะได้เท่านี้แหละ ไม่ต้องไปผลักดันอะไรมาก ให้ลูกตั้งใจเรียนหนังสือก็พอแล้ว แต่ไปๆ มาๆ  การร้องเพลงของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันเลยทำให้ผมเรียนรู้ได้ว่าพ่อแม่ไม่ควรตัดสินลูก เราต้องพิถีพิถันให้มากขึ้น เพราะว่าเขาอาจจะไปได้ไกลกว่าที่เราคิดมาก”

ที่ว่าผลักดันส่งเสริม หมายถึง… 

อันนี้เป็นประสบการณ์ผมเอง ผมเคยคิดว่าสกิลการร้องเพลงของยี่หวาก็พอใช้ได้ประมาณหนึ่ง และคิดว่าน่าจะได้เท่านี้แหละ ไม่ต้องไปผลักดันอะไรมาก ให้ลูกตั้งใจเรียนหนังสือก็พอแล้ว แต่ไปๆ มาๆ  การร้องเพลงของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันเลยทำให้ผมเรียนรู้ได้ว่าพ่อแม่ไม่ควรตัดสินลูก เราต้องพิถีพิถันให้มากขึ้น เพราะว่าเขาอาจจะไปได้ไกลกว่าที่เราคิดมาก

เคสยี่หวาว่ายากแล้ว เจอเคสยูจินเข้าไป เรียกได้ว่าแหกทุกกฎ (หัวเราะ) เพราะยูจินร้องเพลงไม่ได้เลย พูดง่ายๆ คือร้องไม่เพราะ จนเราคิดว่าจะเอายังไงดี ก็เลยไปลดบทบาทเขาลง แล้วก็ไม่ทันคิดว่าลูกจะน้อยใจหรืออะไร เพราะเราคิดเอาเองว่าลูกก็คงไม่ได้อยากร้องเพลงหรอก จนเมื่อไม่นานมานี้ยูจินก็ก้าวกระโดดขึ้นมา เหมือนเอาพลังจากการที่ไม่มีใครสนใจมาฝึกซ้อมตัวเอง ผมเลยอยากแชร์ประสบการณ์ตรงนี้ว่าการตัดสินลูกเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก พ่อแม่ทุกคนควรซัปพอร์ตลูกให้มากๆ

ผมคิดว่าพ่อแม่ต้องคอยสังเกตว่าลูกชอบอะไรแล้วก็คอยเชียร์อัปสิ่งนั้น สิ่งที่บ้านผมทำคือ ลูกชอบร้องเพลง เราก็พยายามถามเขาว่าอยากเรียนร้องเพลงไหม มันก็จะมีช่วงวัยหนึ่งที่เขาเป็นนักปฏิเสธ คือให้ทำอะไรก็ไม่เอา แต่เราก็จะคอยแนะนำว่าก็ลองเรียนดู ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร เหมือนคอยชี้แนวทางให้เขามากกว่า พอเขาทำได้ เขาก็จะชอบแล้วจะรู้สึกภูมิใจในตัวเอง

ผมเห็นบางครอบครัวที่ไม่มีเวลา หรือไม่ได้คิดแบบนี้ ก็ส่งผลให้เด็กต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง ซึ่งมันยากมากนะ ผมอยากให้พ่อแม่ทุกคนสนับสนุนความคิดของลูก และถ้าลูกทำอะไรแล้วมันล้มเหลว ก็ค่อยไปต่อทางอื่นก็ได้ ไม่มีอะไรสายเกินไป

“อยู่กับเขาจนกว่าเขาเจอศักยภาพที่ชัดเจน หรือถ้าศักยภาพนั้นมาช้า ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูก นั่นเป็นหน้าที่ของเราในวันที่ลูกยังไม่รู้ว่าอยากจะเป็นอะไร”

คิดว่าความชอบนี้จะกลายเป็นอาชีพของลูกๆ ต่อไปไหม

ก็ต้องคอยดูไปเรื่อยๆ ครับ ผมคิดว่าพ่อแม่ทุกคน จะต้องเป็นคนวิเคราะห์ศักยภาพของลูก แล้วก็ต้องมีความอดทนรอเห็นความชัดเจนของเขา ว่าเขาชอบมันจริงๆใช่ไหม แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งเขาลังเลก็อาจจะต้องเป็นเรานี่แหละที่จะต้องนำพาเขาไปทางอื่น อยู่กับเขาจนกว่าเขาเจอศักยภาพที่ชัดเจน หรือถ้าศักยภาพนั้นมาช้า ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูก นั่นเป็นหน้าที่ของเราในวันที่ลูกยังไม่รู้ว่าอยากจะเป็นอะไร

คุณพ่อหลายคนมักรู้สึกว่าลูกสาวเลี้ยงยาก และน่าเป็นห่วงและ (หวง) โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น คุณพ่อโจ๊กเป็นแบบนั้นไหม แล้วเป็นห่วงลูกเรื่องอะไรมากที่สุด

หลักๆ คือกลัวเขามีเพื่อนไม่ดี กลัวมีความรักแล้วโดนหลอก แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าเราได้มีการพูดคุยกับลูกทุกเรื่องและคอยสอนเขาอยู่ นี่ก็เป็นข้อดีของการที่เราเป็นเพื่อนกับลูกนะ เพราะเวลาที่เขาเล่าอะไรให้เราฟังเราก็จะได้คอยปลูกฝังเรื่องดีๆ ให้เขาไปด้วย

แล้วเรื่องที่ภูมิใจในตัวลูกสาวทั้งสองคนมากที่สุด

มีหลายมิติมากเลย อย่างแรกก็ภูมิใจในเรื่องความสามารถของเขา ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนที่ดี มีพัฒนาการด้านการร้องเพลงและเล่นดนตรีที่ดี ต่อมาก็ภูมิใจที่เวลาออกไปไหนมาไหน เราก็เห็นคนอื่นรักและชื่นชอบลูกเรา สุดท้ายสิ่งที่ภาคภูมิใจเป็นอย่างมากคือเราเห็นว่าลูกมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่มีจิตใจดี มีความอ่อนโยน มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่าเมื่อวันหนึ่งที่เราไม่อยู่แล้ว ชื่อเสียงอาจจะอยู่กับเขาไม่นาน แต่ความดีเหล่านี้จะอยู่ดูแลเขาตลอดไป

คุณคิดว่าโจ๊ก โซคูล ได้เรียนรู้อะไรจากการเป็นพ่อบ้าง

แน่นอนว่าการมีลูกสอนให้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต เพราะตั้งแต่ที่ลูกเกิดมา การใช้ชีวิตของพ่อแม่ก็หยุดเดินตอนนั้นแหละ หลังจากนั้นเข็มนาฬิกาของเราจะเดินเพื่อลูก ในขณะที่ลูกเราโตขึ้น เราก็แก่ลงขึ้นเรื่อยๆ มันเลยตอกย้ำผมอยู่เสมอว่าเรากำลังอยู่ครึ่งหลังของชีวิต เวลามันผ่านไปเร็วจังเลยนะ

และไม่ใช่แค่ลูกที่ได้เรียนรู้จากเรา แต่เราก็ได้เรียนรู้ตัวเองด้วย ว่าจริงๆ แล้วใจเรามันเป็นแบบนี้เองเหรอ เช่น เคยมีความคิดว่าถ้าสมมติวันหนึ่งลูกสาวเราชอบผู้หญิงขึ้นมาจะเป็นยังไง เราก็ลองจินตนาการ สักพักก็ได้คำตอบว่า ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ยังไงเราก็พ่อลูกกันอยู่ดี

มีอะไรในความเป็นพ่อที่ตัวเองอยากเป็น แล้วคิดว่ายังทำไม่ได้ หรืออยากทำให้ดีขึ้น

ต้องบอกว่าตัวตนของผมตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว (หัวเราะ) ผมเปรียบตัวเองเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง พอเจอลมพายุที่โหมกระหน่ำแล้วไม่ตาย แต่ว่ามันเปลี่ยนไปเลย การเลี้ยงลูกมันหนักแค่ร่างกาย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่จะต้องทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข

ด้วยความที่ผมเป็นอาชีพนักร้อง มันเลยทำให้ผมเจอโจทย์ที่ยากเกินคำบรรยาย เพราะรายได้หลักคือมาจากการออกไปทัวร์ร้องเพลง ซึ่งถามว่ามันดีไหม ผมคิดว่ามันไม่ค่อยดีกับคนที่มีครอบครัว ช่วงแรกที่มีลูก ตอนนั้นผมก็ยังเด็ก มันเลยทำให้ผมสับสนว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกหรือผิด การเลือกที่จะมีเวลาให้ครอบครัวเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเราไปลดหย่อนเรื่องงานมันคือสิ่งที่ผิดหรือไม่…

แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะปกป้องครอบครัวเอาไว้ ด้วยการเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจคิวงานของตัวเอง ว่าเราพอใจจะทำงานได้แค่ไหน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนแรกที่รุนแรงมาก ต่อมาก็เป็นเรื่องของการเสียอิสรภาพในช่วงวัยรุ่นไป เราไม่ได้ออกไปเจอเพื่อน จนทุกวันนี้ เวลามีคนชวนไปไหน ผมรู้สึกไม่อยากออกไปเลย เพราะมีแต่ความเป็นห่วงว่าครอบครัวจะเรียบร้อยไหม แมวจะมีอาหารกินหรือเปล่า หรือที่บ้านต้องมีงานอะไรที่ต้องใช้แรงผู้ชายทำไหม คือตอนนี้แตกต่างกับโจ๊ก โซคูล คนผมยาวสมัยก่อนเลย (หัวเราะ) ซึ่งผมรักตัวเองในเวอร์ชั่นนี้มาก


Supinya R.

ชอบอ่านนิยายสยองขวัญ ชอบเขียนไดอารี่ และเป็นคุณแม่จำเป็นในบางเวลา :-)

COMMENTS ARE OFF THIS POST