READING

INTERVIEW: คุณพ่ออารมณ์ดี—ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือ...

INTERVIEW: คุณพ่ออารมณ์ดี—ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง

ตอนสายๆ ของวันเสาร์ที่ดูเหมือนจะเป็นวันหยุดของครอบครัว ตั๊ก—บริบูรณ์ จันทร์เรือง ยินดีเปิดบ้านให้พวกเราเข้าไปนั่งพูดคุยในบรรยากาศสบายๆ โดยมีทั้งภรรยาคนสวย เอลซี่ ตัน ไอเชีย และน้องบีลีฟ นางเอกของบ้านวัยสามขวบ ในชุดกระโปรงสีแดงสดใส คอยเล่นซน ช่วยสร้างบรรยากาศในบ้านให้สมกับเป็นวันหยุดของครอบครัว

ชีวิตของ ‘ตั๊ก บริบูรณ์’ หลังแต่งงานเป็นยังไงบ้าง

“เหมือนเดิม”

เริ่มการพูดคุยด้วยเสียงหัวเราะ เพราะคุณเอลซี่ ภรรยาคนสวยแซวสามีด้วยการบอกว่า หลังแต่งงานคุณพ่อตั๊กก็ยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“ใช่ฮะ ก็ยังเหมือนเดิม ยังเที่ยวเหมือนเดิม กลับบ้านดึกเหมือนเดิม แต่ว่าเราก็จะรู้สึกว่าตัวเองมีห่วงมากขึ้น เช่น เวลาที่ต้องไปทำงานแล้วไปค้างต่างจังหวัด ก็อยากจะกลับบ้านมากขึ้น”

ก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์ว่า หลังแต่งงานแล้วก็ไม่อยากมีลูก

“อ่อ ใช่ๆ แต่เมียผมเนี่ย เขาบอกว่าเขาไม่อยากได้อะไรเลย ขอแค่มีลูก ขออย่างเดียวในชีวิตนี้ แต่ผมนี่อยากจะอยู่กันสองคน”

พอถามถึงเรื่องนี้ คุณเอลซี่ก็แอบอธิบายเพิ่มว่า เป็นเพราะหลังแต่งงานแล้วเธอต้องอยู่บ้านคนเดียว ก็ต้องรู้สึกเหงาเป็นธรรมดา

ทำไมถึงไม่อยากมีลูก

“มันก็หลายสาเหตุนะฮะ ตอนนั้นมีความคิดว่าเราอาจไม่พร้อม เพราะจะเลี้ยงดูเด็กคนนึง มันก็น่าจะต้องใช้เงินเยอะเนอะ แล้วด้วยสังคมมันก็มีเหตุการณ์อะไรที่ชวนให้คิดว่า ไม่เอาดีกว่า อยู่กันสองคนก็แฮปปี้แล้ว แต่พอเราบอกว่าไม่อยากมี เมียผมเขาซึมไปเลย ก็เลย โอเค้… ก็ได้ ตามใจเขา แต่พอมีแล้วมันก็มีความสุขมากเลยนะ”

หลังจากมีลูกแล้ว ชีวิตมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

“เยอะฮะ เปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนแพมเพิร์สให้ลูก (หัวเราะ) แต่ก็เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ แหละ”

เราลองถามเขาว่า พอมีลูกแล้วก็เหมือนกับต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวเต็มตัว มีภาระมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น จากที่เคยทำงานเยอะอยู่แล้ว การมีลูกยิ่งมีผลต่อการทำงานของเขาหรือไม่

“เออ แต่ผมกลับมองว่า ผมทำงานไม่เยอะเหมือนก่อนหน้านี้ ถามว่ามันน้อยลงมั้ย มันก็ไม่ได้น้อยลงนะ”

เรียกว่าจัดการเวลาได้ดีขึ้น

“กลับดึกน้อยลงฮะ คือมีบ้างเป็นบางวัน แต่ส่วนใหญ่เลิกงานแล้วก็จะรีบกลับบ้าน ทั้งที่หลังแต่งงานยังเป็นคนกลับบ้านดึกอยู่เลยนะ ตีสองตีสามยังออกไปเที่ยวอยู่เลย มันก็เพิ่งมาเปลี่ยนตั้งแต่เขาท้อง เป็นห่วงเขา เพราะเขาอยู่คนเดียวไง ไม่มีใครดูแล เราก็เลยอยากจะรีบกลับ มันก็ประมาณนี้”

ระหว่างพูดคุย ฉากหลังของพวกเราก็มีน้องบีลีฟที่กำลังเล่นซน ปีนป่าย ลุกขึ้นยืน และกระโดดโลดเต้นอยู่บนโซฟา จนคุณแม่ต้องคอยส่งเสียงปรามให้กลับลงมาเล่นบนพื้นอยู่เป็นระยะ

วิธีการเลี้ยงลูกของครอบครัวนี้

“ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของแม่เขาเลยครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเลย (หัวเราะ) เรื่องนี้ต้องถามเมีย คือแม่เขาจะเป็นสายโหด ดูลูกสิจะเป็นเด็กเก็บกดอยู่แล้ว (หัวเราะ)”

จบคำ, พวกเราก็หันไปเห็นน้องบีลีฟกำลังแสดงอาการดื้อแบบเงียบๆ แม้จะไม่กระโดดโลดเต้นอย่างเดิมแล้ว แต่ยังคงยืนนิ่ง… อยู่บนโซฟา

 

“เพราะว่ายูตามใจไง… คือเขาอยากเป็นพ่อที่แสนดี อยากให้ลูกรักเขา มันก็เลยต้องมีคนนึงร้าย แล้วอีกคนแสนดี”

คุณเอลซี่เล่าปนด้วยเสียงหัวเราะ แต่ถึงจะอยากเป็นพ่อที่แสนดีแค่ไหน คุณพ่อตั๊กก็ยังต้องคอยหันไปเรียกน้องบีลีฟที่ยังคงปีนป่ายโซฟาเล่น

“เนี่ย ดูสิ เป็นเด็กที่ปีนทั้งวัน ไม่รู้จะปีนอะไรของเขา คือบางทีเราก็ต้องปล่อยให้เขาล้มไปเอง”

นี่ถือว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ซน

“โห ซนมากฮะ ไม่ใช่เด็กดีเลยฮะลูกผม (หัวเราะ)”

ปล่อยให้ดื้ออยู่หลายนาที แต่พอคุณแม่เริ่มส่งสัญญาณว่า ถ้าบีลีฟยังดื้อและไม่ยอมลงมาจากโซฟา คุณแม่จะกลายร่างเป็นมอนสเตอร์ให้ดู น้องบีลีฟก็เริ่มรู้ว่าหมดเวลาของความดื้อและซนในครั้งนี้แล้ว

สาวน้อยปีนกลับลงมาจากโซฟาด้วยหน้าตายิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ตอนนี้เริ่มมองว่าบีลีฟนิสัยใจคอเหมือนใคร

“เหมือนผม” (ตอบเร็ว)

“ดูสิ… เครียดนะฮะ ชีวิตครอบครัวผมเนี่ย (หัวเราะ)”

เป็นคุณพ่อที่ซีเรียสเรื่องอะไรในการเลี้ยงลูกบ้าง

“ซีเรียสเหรอฮะ ซีเรียสเรื่องที่จะพยายามไม่ไปบีบหรือเข้มงวดกับเขามากเกินไป ว่าจะต้องเก่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดว่าคงจะไม่ทำอย่างนั้น อยากให้เขาเป็นอย่างนี้นี่แหละ ผมชอบแล้ว”

มาถึงตรงนี้ ดูเหมือนใครก็หยุดความซนของน้องบีลีฟไม่ได้ เพราะเธอกำลังทิ้งตัวลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น

“ดูสิฮะ แบบนี้แหละ ผมชอบแล้ว” คุณพ่อตั๊กพยายามย้ำ

ในมุมมองของพ่อและผู้ชาย ทำให้ห่วงลูกสาวมากเป็นพิเศษไหม

“มันก็จะมากขึ้นฮะ คืออย่างตอนนี้ยังเด็กๆ มันก็คงไม่ค่อยมีอะไร แต่ว่าถ้าโตขึ้นไป เริ่มเป็นสาวแล้วนี่แหละ คงจะห่วงน่าดู เขาคงจะมีหนุ่มๆ มีใครมาจีบ มีใครมารังแก หรือเขาโตแล้วจะไปเที่ยวไหนกับใคร จะเสียคนหรือเปล่า ก็คงต้องห่วงอะไรพวกนี้ แต่ผมก็คุยกับเมียไว้แล้วว่า มันคงอยู่ที่เราสอนเขา สอนให้เขารู้ว่าสิ่งนี้ถูก สิ่งนี้ผิด”

พอพูดถึงความเป็นห่วงที่มีต่อตัวลูกสาว น้ำเสียงของพ่อตั๊กก็จริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ความเป็นห่วงนี้ทำให้ต้องปกป้องเขาเป็นพิเศษไหม

“ไม่ฮะ ถ้าสิ่งไหนผิด คิดว่าเราเองก็คงต้องพูดคุยกับเขา แต่สุดท้ายจริงๆ มันก็อยู่ที่ตัวของเด็ก ว่าเขาจะรับในสิ่งที่เราสอนไว้หรือเปล่า ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง ก็ถือว่าเป็นกรรมของเราแล้วกัน”

ในรายการ ‘บริบูรณ์ แฟมิลี่’ เหมือนจะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยและการเอาตัวรอดของเด็กอยู่พอสมควร

“ใช่เลยฮะ ผมว่ามันเหมือนเป็นคัมภีร์ เพราะลึกๆ ของมันคือความตั้งใจที่ผมจะสอนลูก ในแต่ละตอนมันคือการสอนลูกของเรา เพราะในวัยนี้ เขารู้เรื่องหมดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร เราสามารถบอกให้เขาเข้าใจได้ เช่น สอนว่าใครคือคนแปลกหน้า ใครคือคนในครอบครัว

สมมติเวลาไปห้างฯ แล้วเด็กเกิดดื้อขึ้นมา เขาก็จะวิ่งไปแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้ หายไปเลย พ่อแม่ก็เรียกไปเถอะ เขาไม่มาหรอก เราก็เลยทำคลิปนึงขึ้นมา (คลิปรายการที่สร้างสถานการณ์ให้น้องบีลีฟพลัดหลงกับคุณพ่อคุณแม่) เพื่อให้เขารู้ว่ามันจะเป็นยังไง”

สถานการณ์แบบนี้น้องบีลีฟก็เคยเป็นมาก่อน

“โอ๊ย เป็นหนักเลยฮะ แต่พอหลังจากทำคลิปนั้นก็ไม่เป็นแล้ว เขาจะคอยเดินกับแม่เลย เพราะเขารู้แล้วว่าการพลัดหลงกันมันเป็นยังไง หรือเวลาที่พ่อแม่หายไปมันเป็นยังไง”

เหมือนเป็นวิธีการสอนที่ว่าเราเป็นห่วงเรื่องไหน ก็พยายามให้เขาได้ลองเจอเรื่องนั้น

“ใช่ฮะ แต่ที่ทำเป็นคลิปเป็นรายการก็เพราะเรามีโปรดักชั่นของเราด้วย”

ถ้าน้องบีลีฟเป็นลูกชาย

“ก็คงจะไม่ห่วงเท่านี้ คิดว่าอย่างน้อยเขาก็คงเอาตัวรอดได้ เพราะว่าอย่างเราเอง เราก็เป็นคนที่เอาตัวรอดได้ ผมก็เลยคิดว่าลูกชายผมคงจะเอาตัวรอดได้ คือมันก็ต้องเป็นห่วงนะ แต่คงไม่เท่านี้”

ส่วนตัวคุณเองก็โตมากับวิธีการสอนแบบนี้หรือเปล่า

“อืม… (คิดนาน) ส่วนใหญ่ ผมว่า ผมก็เลี้ยงตัวเองมาตลอดนะ (หัวเราะ) คือแม่เขาก็ไม่ได้มามีเวลาสอนอะไรขนาดนี้หรอกฮะ ด้วยอะไรหลายๆ อย่างตอนนั้น แม่ก็ต้องออกไปทำงาน ผมเลยเชื่อว่าสุดท้ายมันก็อยู่ที่ตัวเด็ก ว่าเขาจะใฝ่ดีหรือเปล่า แล้วก็โชคดีที่เราเลือกเส้นทางที่มันดีกับชีวิตตัวเอง

ก็เหมือนน้องบีลีฟอะครับ คือถ้าเราย้อนกลับไปพูดถึงที่เราคุยกันว่า ถ้าพ่อกับแม่สอนสิ่งที่ดีที่ถูกให้กับเขาแล้วเขาไม่รับฟัง ก็อยู่ที่ตัวของเขาแล้วล่ะ ก็คงต้องปล่อย สมบัติก็จะไม่ให้สักชิ้น (หัวเราะ)

เออ ถ้ามันถึงตอนนั้นก็อาจจะไม่ให้นะ บ้านเบิ้น เงินทอง เราทำมาให้ลูกหมดเลยนะ หนูรู้ใช่มั้ย แต่ถ้าหนูไม่ดี ก็ไม่ต้องเอาไป ไปอยู่ที่อื่นเลย ไม่ต้องมาคุยกัน (หัวเราะ)”

เท่าที่เห็น เหมือนน้องบีลีฟเหมือนจะเกรงใจคุณแม่มากกว่า บทบาทของคุณพ่อตั๊กในครอบครัวคือ

“เหมือนเพื่อนเล่นฮะ คอยแกล้งเขา เอ็นเตอร์เทนเขา”

ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ดุลูกอย่างจริงจังเลยเหรอ

“เคยครับ, เนี่ย วัยประมาณนี้เลย จำได้ว่าที่สนามบิน ผมโกรธจัดเพราะเขาชอบถีบ เวลาเขาไม่พอใจ เขาจะถีบจะเตะ เราก็บอกว่าบีลีฟอย่าใช้ขากับพ่อ เขาก็ไม่ฟัง เราก็ตีเพี้ยะเลย โห ร้องลั่นเลย”

เป็นการตีครั้งแรกในชีวิต

“ครั้งแรกเลย พอแล้วไม่เอา เขาตกใจ ร้องไห้ เราก็โอ๋ทันทีเลย เพราะก็ตกใจเองเหมือนกัน ทำไรลงไปวะเนี่ย แต่ไม่เอาแล้ว ตีครั้งเดียวพอแล้ว”

“ก็บอกแล้ว เขาจะเป็นพ่อที่แสนดี” คุณเอลซี่ยังคงแซวเรื่องการพยายามเป็นคุณพ่อที่แสนดี

ตอนแรกที่คุยกันเรื่องไม่อยากมีลูก คุณบอกว่าเป็นเพราะสังคมส่วนหนึ่ง ตอนนี้นอกจากการเลี้ยงดูแล้ว ครอบครัววางแผนหรือเตรียมตัวอะไรให้เขาไหม

“เรียบร้อยหมดแล้วฮะ คือถามว่าเราอยากเลือกสังคมให้เขาไหม มันก็ใช่นะ อย่างเรื่องโรงเรียน การเรียนหนังสือมันก็สำคัญ มีโรงเรียนในเมืองดีๆ ก็เยอะ แต่บ้านเราอยู่บางนา เราก็ต้องเลือกแล้วว่าโรงเรียนเขาควรจะอยู่เส้นทางไหน เรียนในเมืองหรือละแวกนี้ดี อย่างตอนนี้เขาเรียนแถวสุขาภิบาล 1 มันก็ไม่ได้ใกล้มาก เดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ก็ตั้งใจให้เขาเรียนจนถึง 6 ขวบ แล้วค่อยไปเลือกกันใหม่”

ตอนนี้ (สามขวบ) กับตอนเด็กกว่านี้ ช่วงไหนถือว่าเหนื่อยที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อ

“ทุกช่วงเหนื่อยหมดเลยนะ เพราะว่าเขาดื้อ”

หมายความว่าตอนเล็กๆ ที่ยังไม่ดื้อก็ง่ายกว่า

“เออ ใช่ แต่บ้านเราก็เลี้ยงกันเองสองคนตั้งแต่แรก ผมไม่ได้ใช้พี่เลี้ยง คือมีแม่บ้านนะ แต่ก็ไม่ได้ให้แม่บ้านมายุ่งอะไรมาก ไม่มีการเอาไปฝากเลี้ยง คืออาจจะมีฝากแบบแป๊บๆ แต่ไม่ใช่ฝากเป็นวันสองวัน แบบนี้ไม่มีเลย ไม่เคยห่างเลย เวลามีงานที่ต้องไปด้วยกันสองคน ก็เอาบีลีฟไปด้วย แถมให้เลย (หัวเราะ)”

ผลพลอยได้ คือทำให้น้องบีลีฟกล้าแสดงออก และไม่กลัวคนแปลกหน้าหรือเปล่า

“ผมว่าเป็นเพราะเราชอบถ่ายคลิปเขาด้วย เขาก็จะได้เจอคนเยอะ เจออะไรใหม่ๆ ตลอด”

เป็นห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวของเขาไหม

“คือเพราะถามว่า ทุกวันนี้เขาเป็นดาราเหรอ ผมว่าเขาก็ไม่ได้เป็นดารา ไม่ได้ออกทีวี เขาแค่อยู่ในเพจของผม คือเราเน้นว่าอยากให้เขาได้เล่นมากกว่า เด็กได้เล่น ได้ออกไปเรียนรู้ ได้ออกไปทำนา ไปปั้นดินปั้นโอ่ง คือหลักๆ เราอยากให้เขาได้ออกไปเล่น”

สุดท้ายแล้ว ในใจลึกๆ คุณพ่ออยากให้น้องบีลีฟโตขึ้นมาเป็นยังไง

“จริงๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรไว้ แต่ก็คิดว่าอยากให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนที่รักตัวเอง แล้วก็ภาคภูมิใจในตัวเอง อันนี้ผมว่าสำคัญที่สุด”

หมายถึง…

“คือคนเราสมัยนี้ ผมว่าเขาอิจฉากันเยอะ เช่น คนนั้นได้ดีกว่า ขับรถดีกว่า มีบ้านสวยกว่า มีเงินมากกว่า เพราะอะไร เพราะเขาไม่ภูมิใจในตัวเอง เขาลืมความภาคภูมิใจในตัวเองไป เราก็เลยอยากให้บีลีฟโตขึ้น แล้วมีความสุขอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบก็พอแล้ว แล้วก็อยากให้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดี ที่เป็นเด็กที่มีพ่อแม่ได้สร้างอะไรเอาไว้ให้”

สัมภาษณ์วันที่ 2 ธันวาคม 2560

Sisata D.

Editor in Chief, ชอบเล่นกับลูกคนอื่นและอัพรูปหลานลงอินสตาแกรม

RELATED POST