READING

INTERVIEW: ถ้าวันนั้นไม่ท้อง เบลล์คงเสียดายมาก...

INTERVIEW: ถ้าวันนั้นไม่ท้อง เบลล์คงเสียดายมาก

ว่ากันว่าคนเราจะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต หากนับเฉพาะหลักไมล์สำคัญ จุดเปลี่ยนที่ว่าอาจจะหมายถึงการเลือกเส้นทางในระดับมหาวิทยาลัย เรียนจบ ทำงาน แต่งงานสร้างครอบครัว และมีลูก…

เบลล์—ยุภาพร ฤทธิญาณ เป็นหญิงสาวอีกคนที่ใช้ชีวิตตามหลักไมล์ปกติเรื่อยมา จนกระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งเกิดขึ้นในวันที่เธอยังไม่ทันตั้งตัว

 

การมีอีกชีวิตน้อยๆ ก้าวเข้ามาในขวบปีที่ 22

ชีวิตน้อยๆ ที่ต่อมาได้รับชื่อเรียกซึ่งเต็มไปด้วยความรักว่า ‘ชูใจ’ หรือเด็กหญิงณอร ศรีหมอก ลูกสาวสุดที่รักของแม่เบลล์กับพ่อกอล์ฟ—ณัฐวุฒิ ศรีหมอก (ฟักกลิ้งฮีโร่) แม้การมาถึงของชูใจดูจะเป็นเรื่องน่าตกใจสำหรับทั้งสองคนไม่น้อย แต่ความยิ่งใหญ่ของชีวิตเล็กๆ ในวันนั้น ก็ทำให้โลกของแม่เบลล์กับพ่อกอล์ฟค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

วันนี้ชูใจในวัยสองขวบเศษ เป็นเด็กหญิงที่มีรอยยิ้มสดใส ช่างพูดช่างคุย (แม้นอกจากแม่เบลล์แล้ว คนอื่นอาจจะฟังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม) ถึงอย่างนั้นชูใจก็ยังคงสงวนท่าทีกับคนแปลกหน้า แม้เสน่ห์ของเธอจะทำเอาผู้ใหญ่หลายคนตกหลุมรัก จนอยากเข้าไปตีสนิทด้วยตั้งแต่แรกเห็น

แต่สำหรับชูใจแล้ว, โลกที่ปลอดภัยที่สุดของเธอก็คือพ่อกับแม่—โลกสองใบที่เธอเป็นคนเข้ามาเปลี่ยนมันไปตลอดกาล

“ช็อกกันทั้งคู่ ทำอะไรไม่ถูก เบลล์ก็เดินไปล้างจาน ไปหั่นแตงโม พี่กอล์ฟก็ร้องไห้ คิดว่าเราจะทำยังไงกันดี มีอีกชีวิตกำลังจะเกิดมา ในเวลาที่เรายังไม่ได้เตรียมตัวถึงขั้นว่าจะมีลูก”

ชีวิตก่อนที่จะมีชูใจ

ชีวิตเบลล์เป็นวัยรุ่นสายปาร์ตี้ ก็มีเที่ยวกลางคืนบ้าง ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปค่ะ ไม่เคยคิดถึงอนาคตอะไรเลย ตอนนั้นอายุประมาณ 22 เป็นวัยที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานด้วยซ้ำ เรื่องมีลูกนี่ไม่เคยมีในหัวเลย

ตอนที่รู้ตัวว่าท้อง…

ตอนแรกคิดว่าตัวเองไม่สบาย เพราะเวียนหัว อาเจียน แต่มันมีอาการท้องเสียด้วย ก็เลยคิดว่าอาหารเป็นพิษ พอดีวันนั้นพี่กอล์ฟกับพี่อิน (บูโดกัน) ไปถ่ายรายการด้วยกัน ช่วงเดือนกรกฎาคมนี่แหละจำได้ (หัวเราะ) แล้วเบลล์อยู่บ้านคนเดียว มันเวียนหัว แค่ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มก็อ้วกแล้ว เลยบอกให้พี่กอล์ฟรีบกลับมาพาไปหาหมอ แล้วพอดีพี่อินมาด้วย เขาเห็นอาการเราก็บอกเลยว่าไม่น่าจะอาหารเป็นพิษนะ อาการมันเหมือนคนท้อง…

 

ก็เลยไม่ไปหาหมอแล้ว แต่ไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจแทน สรุป ท้องค่ะ! ก็ช็อกไปช่วงนึง เบลล์ถึงขั้นกรี๊ดในห้องน้ำเลยนะ เพราะตอนที่ตรวจ เราหยดปัสสาวะลงไปแล้วขีดมันขึ้นปรี๊ดดดมาเร็วมาก เราก็ช็อกอยู่ในห้องน้ำ

 

พอเดินออกมา ก็บอกพี่กอล์ฟกับพี่อินว่า “เรียบร้อย” แล้วยื่นที่ตรวจครรภ์ให้ทั้งคู่ดู พี่กอล์ฟก็ร้อง “ฮะ!” ช็อกกันทั้งคู่ ทำอะไรไม่ถูก เบลล์ก็เดินไปล้างจาน ไปหยิบแตงโมมาหั่น พี่กอล์ฟก็ร้องไห้ คิดว่าเราจะทำยังไงกันดี มันมีอีกชีวิตกำลังจะเกิดมา ในเวลาที่เรายังไม่ได้เตรียมตัวถึงขั้นว่าจะมีลูก

พอมีสติแล้ว สิ่งแรกที่คิดได้คือ

กว่าจะได้สติก็กลางคืนแล้ว พอพี่อินกลับไปเหลือเราอยู่สองคน ถึงได้คุยกับพี่กอล์ฟว่าจะทำยังไงกันต่อ เบลล์เริ่มจากโทร.ไปบอกพี่สาวก่อน ตอนนั้นยังไม่กล้าบอกแม่ เพราะเราเป็นคนต่างจังหวัดมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว สังคมต่างจังหวัดเขาจะชอบมองว่า เอ๊ะ ทำไมท้องก่อนแต่ง ก็เลยยังไม่กล้าบอกแม่ ให้พี่สาวบอกแทนก่อน

 

พอโทร.บอกทุกคนเสร็จ ก็เริ่มหาข้อมูลหาโรงพยาบาลว่าเราจะต้องไปฝากท้องที่ไหน โรงพยาบาลมันเยอะมาก เราก็ไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เคยหาข้อมูลเลยว่าถ้าท้องต้องทำยังไง เราคือคนอายุ 22 ที่เมื่อต้นเดือนเพิ่งปาร์ตี้สระว่ายน้ำมา พอกลางเดือนต้องมาคิดว่าจะฝากท้องโรงพยาบาลไหนแล้วเหรอ…

แล้วเลือกยังไง

ก็เริ่มจากหาข้อมูลก่อนว่าที่ไหนราคาไม่แพงเกินที่เราจะรับได้ ใกล้บ้านหน่อยก็ดี แล้วก็นั่งเซิร์ชเอาว่าฝากครรภ์เขาต้องทำยังไง เอาอะไรไปบ้าง พออีกวันก็ไปที่โรงพยาบาลเลย แต่ไม่กล้าไปกันเองสองคน พี่กอล์ฟก็ชวนรุ่นพี่ที่เขานับถือไปด้วยคนนึง ไปช่วยเป็นกำลังใจให้

ตอนท้องก็ยังมีแอบร้องไห้อยู่บ้าง นึกเสียดายว่ามันเร็วไปหรือเปล่า ที่เราต้องมาสละทุกอย่างเพื่อคนคนนึง ซึ่งตอนนี้พอเขาเกิดมาแล้ว เรารู้เลยว่า เออ มันคุ้มค่าแล้วที่เรายอมสละทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ

หลังจากนั้น

หลังจากนั้นก็แพ้ท้องหนัก เบลล์ได้กลิ่นอะไรไม่ได้เลย มันเวียนหัว โลกหมุนตลอดเวลา ถ้าออกนอกบ้านก็จะอ้วกตลอด ช่วงแรกๆ เลยนอนอยู่บ้านอย่างเดียว ผมก็ร่วง ผื่นขึ้น สิวขึ้นเต็มหน้าทั้งที่ปกติเราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

คิดว่าตัวเองเด็กเกินไปไหม สำหรับการเป็นแม่

ถ้าตอนนั้นก็คิดว่าเด็กไป เพราะเบลล์คิดว่าอยากแต่งงานแล้วก็มีลูกสักอายุ 27 เลยรู้สึกว่ามันเร็วไปมาก เรายังใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นไม่คุ้มเลย ยังมีอะไรที่อยากทำ ยังมีความฝันที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะ ตอนท้องก็ยังมีแอบร้องไห้อยู่บ้าง นึกเสียดายว่ามันเร็วไปหรือเปล่า ที่เราต้องมาสละทุกอย่างเพื่อคนคนนึง ซึ่งตอนนี้พอเขาเกิดมาแล้ว เรารู้เลยว่า เออ มันคุ้มค่าแล้วที่เรายอมสละทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ

 

คือลืมเล่าไปว่า เบลล์มีแมวตัวแรกคือสีเทา แล้วเบลล์ก็ไปจองแมวไว้อีกตัว ซึ่งจะต้องไปรับช่วงเดียวกับที่รู้ตัวว่าท้องนี่แหละ แต่พอท้อง ก็ต้องไปยกเลิกแมว เพราะเรามีภาระเพิ่มขึ้น เงินที่มีก็อยากเอาไปใช้เป็นค่าฝากท้อง ค่านู่นนี่นั่น เราก็จำเป็นต้องสละแมว แต่เบลล์จองไว้แล้วก็ไม่อยากเสียคำพูด สุดท้ายพี่กอล์ฟต้องเป็นคนไปคุยกับเจ้าของแมวให้ว่าเราท้อง คงเลี้ยงแมวเพิ่มไม่ได้ เรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองยังเด็กมาก แต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างก็สอนให้เราโตขึ้นเองค่ะ

เริ่มมีการวางแผนชีวิต

พอผ่านมาสักพัก เราก็คิดวางแผนเรื่องเงิน เริ่มคิดว่าจะต้องใช้เงินยังไง แบ่งเงินส่วนไหนไว้เก็บ ส่วนไหนจ่ายค่าทำคลอด เพราะก่อนหน้านั้นเราใช้ชีวิตแบบผ่านไปวันๆ เป็นคนไม่เก็บเงินเลยทั้งคู่ เพราะคิดว่ามันยังไม่ใช่วัยที่จะสร้างครอบครัว แต่หลังจากรู้ตัวว่าท้อง การวางแผนการเงินก็เป็นเรื่องสำคัญ

คิดว่าแม่ทุกคนต้องโดนถามว่าอยากได้ลูกผู้ชายหรือผู้หญิง

เบลล์อยากได้ลูกผู้หญิง เพราะเบลล์ขี้เหงา แล้วปกติถ้าไม่ได้ออกไปทำงานกับพี่กอล์ฟ เราก็อยู่บ้านคนเดียว ก็อยากมีเพื่อน มีลูกสาวเอาไว้เล่นด้วย ไว้แต่งตัวน่ารักๆ ไปไหนด้วยกันได้ เพราะถ้าเขาโตระดับนึง ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้แก่มาก ก็จะพากันไปชอปปิ้ง ไปเที่ยวกับลูกได้ แต่พี่กอล์ฟอยากได้ลูกชาย เพราะเขาก็อยากมีเพื่อนเอาไว้เล่นเกม

สุดท้ายก็ได้ลูกสาวสมใจ

กว่าจะรู้ว่าเขาเป็นผู้หญิงก็ประมาณหกเดือนเจ็ดเดือนแต่ก็ยังไม่ชัวร์ เพราะก่อนนั้นอัลตราซาวนด์แล้วเขาเอาขาปิดไว้ คุณหมอก็บอกตลอดว่าอัลตราซาวนด์เนี่ยมันไม่ได้เห็นทุกอย่าง เด็กอาจจะไม่สมบูรณ์ เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ หรืออาจจะเป็นโรค มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ ก็เลยกังวลและเป็นห่วงอีกว่าเขาเกิดมาจะเป็นยังไง แข็งแรงหรือเปล่า

แต่วันที่ผ่าคลอด พอเขาออกมาแล้ว คำแรกที่ถามหมอเพื่อความแน่ใจคือ “ลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” พอหมอบอกว่าผู้หญิง คราวนี้สบายใจแล้ว นอนหลับได้

วันแรกที่เอาลูกกลับบ้าน

โห… ตอนอยู่โรงพยาบาลมันดีเนอะ พี่กอล์ฟถึงขั้นบอกว่า อยู่โรงพยาบาลสักเดือนดีไหม เพราะอย่างน้อยก็ยังมีพยาบาลคอยช่วยคอยแนะนำ ถ้ากลับบ้านไปมันจะเหลือแค่เราสองคนเลยนะ

วันแรกที่เอาลูกกลับบ้าน เป็นวันที่วุ่นวายที่สุด กลับบ้านมาลูกร้องไห้ เราก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะต้องทำอะไรก่อนดี

ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ไหม ว่าชีวิตหลังจากวันนั้นจะเป็นยังไง

คือคนที่ไปเยี่ยมเบลล์ตอนคลอด ถ้าเขาเป็นแม่มาก่อน ทุกคนจะบอกว่าเบลล์จะไม่ได้นอนเลยนะ ตอนนั้นก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ จนมาเจอเอง ทุกอย่างมันวุ่นวายระดับสิบ เราจะทำยังไงดี ตอนน้องร้องต้องทำยังไง เปลี่ยนแพมเพิร์สยังไง อาบน้ำยังไง…

 

จนพี่แสตมป์กับพี่นิวมาหา เขาซื้อเครื่องแขวนที่กล่อมให้เด็กหลับแล้วก็ที่นึ่งขวดนมมาให้ แล้วก็อยู่เป็นเพื่อนถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง วันนั้นเหมือนพี่แสตมป์มาช่วยเรียกสติทุกคนในบ้านเอาไว้

แม่มือใหม่กับการเลี้ยงลูกเองเป็นยังไง

ชูใจช่วงแรกๆ เขาจะตื่นมากินนมทุกสามชั่วโมง เบลล์นี่เหมือนซอมบี้เลย แล้วก็เหมือนคนเสียสติด้วย เพราะเราเหมือนมีอาการ Baby Blue หลังคลอด คือหดหู่ แล้วก็ร้องไห้ ไม่ค่อยมีสติ บางทีเข้าครัวไปทำอะไรแล้วลืมปิดแก๊สเลยก็มี จนต้องให้แม่มาช่วย ทุกอย่างถึงเริ่มดีขึ้น แต่แม่ก็มาช่วยเลี้ยงได้แค่เดือนสองเดือน

หลังจากนั้นเริ่มคิดว่า โอเค เราเลี้ยงลูกเองได้แล้วช่วงไหน

สองสามเดือนไปแล้วถึงเริ่มรู้สึกโอเค เพราะทุกอย่างเริ่มคงที่ แต่ช่วงสามเดือนแรกมันมีแต่เรื่องที่เราไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง บางอย่างเราก็ไม่ได้เตรียมไว้ แล้วที่ทำไปก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า เพราะคนเราเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน เวลาไปหาข้อมูลก็จะเจอความเห็นเยอะมาก ก็ต้องมาเลือกเอาว่าอันไหนน่าเชื่อถือแค่ไหน ดูว่าความเห็นส่วนใหญ่เห็นตรงกันไหม เช่น ลูกกินนมเรา แล้วเรากินอะไรได้หรือไม่ได้ ช่วงแรกก็ต้องใช้วิธีหาข้อมูลเยอะๆ แล้วมาเลือกเอา

ถ้าให้เลือกใหม่อีกที อยากเลี้ยงลูกเองหรือเลี้ยงแบบมีครอบครัวใหญ่คอยช่วย

อยากเลี้ยงเองนี่แหละค่ะ เบลล์คิดว่ามันคุ้มกว่า คือจริงๆ มีญาติผู้ใหญ่มันก็ดีค่ะ เพราะมีคนช่วยเลี้ยงเราก็สบายกว่าแน่นอน แต่มันจะไม่ได้ความผูกพันเท่านี้ เราอาจจะไม่ได้เห็นบางพัฒนาการของลูก ถ้าไม่ได้เลี้ยงเอง ชูใจอาจจะติดคนอื่น ซึ่งในวัยแบบนี้เราอยากใช้เวลากับลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ามีเวลาเราก็พากันกลับบ้านที่เหนือ ให้ชูใจไปเจอย่าเจอยาย พากันไปเที่ยวบ้าง ให้เขาได้เจอคนในครอบครัวคนอื่นๆ บ้าง

แต่ช่วงนี้ชูใจเขาจะไม่ค่อยเอาคนแปลกหน้า ก็จะมีกลัวบ้างเป็นบางคน อาจเป็นเพราะเบลล์เลี้ยงลูกเองแล้วไม่ค่อยได้ออกไปเจอใครด้วย

หรือเปลี่ยนเป็นพี่เลี้ยงสักคน

ไม่เคยคิดเลยค่ะ ตั้งแต่คลอดชูใจ พี่กอล์ฟก็คอยถามตลอดว่าอยากได้พี่เลี้ยงไหม เขารู้ว่าเราเหนื่อยมาก เพราะเราแบ่งหน้าที่กันชัดเจนว่าพี่กอล์ฟหาเงิน ส่วนเบลล์เลี้ยงลูก แต่เบลล์ถึงขั้นบอกพี่กอล์ฟว่า จะเป็นจะตายเบลล์ก็ไม่เอาพี่เลี้ยง อย่าพยายามหามาให้เลย

ชูใจมีอะไรที่เหมือนเบลล์กับพี่กอล์ฟได้เองโดยไม่ต้องสอน

การเต้น เพราะเราไม่เคยสอนเขาเลย แต่เขาจะชอบจังหวะ รู้จังหวะ แล้วก็เต้นตรงจังหวะมาก

ติดมาจากแม่ฟังเพลงตอนท้องหรือเปล่า

ตอนท้องเบลล์ก็ฟังเพลงนะ คือคุณหมอบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องฟังแต่เพลงคลาสสิกก็ได้ เพลงอะไรที่ฟังแล้วมีความสุขก็ฟังไปเถอะ เพราะงั้นก็มีบ้างที่เราฟัง EDM, Hip Hop หรือเพลงที่เราชอบ เขาอาจจะซึมซับไปเอง เพราะเราเห็นการเต้นของเขาตั้งแต่เจ็ดเดือน ตอนยังเดินไม่ได้เขาก็นอนเต้นแล้ว (หัวเราะ) คิดว่าเรื่องจังหวะนี่แหละที่เขาได้จากพ่อแม่ไปเต็มๆ

สองปีกว่าที่ผ่านมา ช่วงไหนยากที่สุดสำหรับการเลี้ยงชูใจ

เอาช่วงที่ง่ายที่สุดก่อนคือช่วงท้อง เพราะมีเวลานอนเยอะ ทุกคนก็ดูแลเอาใจ ไม่ให้ทำอะไรมาก อยากนอนก็นอน อยากทำ อยากกินอะไรก็มีคนคอยช่วยหามาให้

แต่พอเขาออกมาแล้ว มันก็มีอีกชีวิตที่เราต้องรับผิดชอบ จะทำอะไรก็ต้องคิดให้เยอะขึ้นค่ะ จะไปไหนก็ต้องคิดว่าลูกจะไปด้วยได้ไหม ลูกจะเหนื่อยไปไหม ที่นั่นจะเสียงดังไปไหม

จากสายปาร์ตี้ตอนนี้เลยกลายเป็นคนไม่ได้เที่ยว

ก็ไป แต่ไปแค่คอนเสิร์ตใหญ่ๆ ที่อยากไปจริงๆ อย่าง Coldplay มาเราก็ไปดู แต่ไม่ใช่ว่าวันนี้ว่างแล้วออกไปเที่ยวผับ ก็ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว แต่ถ้าเป็นอะไรที่อยากไปมากๆ เราก็จะขอให้พี่กอล์ฟดูชูใจแทนหน่อย

ตกลงช่วงที่คิดว่ายากที่สุดคือช่วงไหน

ช่วงนี้แหละค่ะ เพราะว่าชูใจเริ่มรู้เรื่อง เขารับรู้ได้ทั้งการกระทำและคำพูด เราเลยต้องระวังทุกอย่าง คือเขาเป็นวัยที่เห็นแล้วจำ แล้วก็ทำตาม แต่ยังแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เราเลยต้องดูแลมากขึ้นเป็นพิเศษ ต้องคอยบอกคอยสอนว่าอะไรควรทำไม่ควรทำกันค่ะ

คิดว่ายิ่งโตจะยิ่งกังวลเรื่องอะไรมากขึ้น

กังวลเรื่องสังคมทุกวันนี้ค่ะ เขาจะโตมาอยู่ในสังคมที่ดีไหม เพราะเราเห็นข่าวเดี๋ยวนี้มีเรื่องไม่ดีเยอะมาก เลยค่อนข้างห่วงเขาในเรื่องนี้มาก

ถ้าไม่มีชูใจ เคยคิดว่าตัวเองจะเลี้ยงเด็กคนนึงได้ไหม

เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดเลย เราไม่ชอบเด็ก ไม่เคยคิดภาพตัวเองมีลูก เมื่อก่อนเวลาเห็นเด็กบนเครื่องบินเรายังรู้สึก เฮ้อ… โอ๊ย ไม่เอา

แต่ตอนนี้เห็นเด็กคนอื่นก็โอเคขึ้น เห็นพ่อแม่พาลูกขึ้นเครื่องบินแล้วลูกร้องไห้ ก็จะรู้สึกว่าฉันเข้าใจพวกเธอ ก็เอาใจช่วย เพราะเราเองก็เคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว

เบลล์เปลี่ยน แล้วพี่กอล์ฟเปลี่ยนไปเยอะไหม

เปลี่ยนมาก เขาก็เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ทุกอย่างตั้งแต่ชูใจมา

ความสุขของการเลี้ยงลูกในแบบของครอบครัวเรา

เราเลี้ยงลูกแบบไม่ได้คาดหวัง บางครอบครัวเขาอาจจะคาดหวังอยากให้ลูกโตมาเก่ง แต่เราไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเขาเลย เลี้ยงให้เขาเป็นแบบที่เขาอยากเป็น ไม่ได้คิดแทนเขาว่าโตมาต้องเป็นอะไร แต่เวลาที่เห็นว่าเขาสนใจในเรื่องไหน เราก็คอยสนับสนุน เช่น ช่วงนี้ชูใจชอบเสียงเพลงและชอบเต้นเป็นพิเศษ เราก็หาครูมาสอนเปียโนที่บ้าน ให้เขาเรียนให้สนุก ไม่ได้คิดว่าต้องเล่นเป็นหรือต้องเก่งอะไร ที่สำคัญคือเราแค่อยากให้เขาเป็นเด็กดี ไม่เก่งก็ได้ แต่โตไปขอให้เขาอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่นได้ก็พอ

ถ้าย้อนเวลากลับไป แล้ววันนั้นตรวจออกมาว่าไม่ได้ท้อง

เบลล์คงเสียดายมาก เพราะถ้าวันนั้นไม่ท้อง ชีวิตเบลล์คงยังไม่มีแบบแผน ก็คงยังเที่ยวยังปาร์ตี้อยู่ ใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไม่มีเป้าหมายในชีวิต แต่พอมีเขา เป้าหมายของเราก็คือการรู้ว่าเราควรทำทุกอย่างให้ดีและอยู่เพื่อใคร คือการมีชูใจมันดีมากๆ

Photo: Vitchudew

RELATED POST