เมื่อพูดถึงการบูลลี่ เรามักจะนึกถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งทางร่างกายและจิตใจให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่ยังมีการกลั่นแกล้งอีกหนึ่งรูปแบบ ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือ การกลั่นแกล้งทางสังคม (social bullying)
การกลั่นแกล้งประเภทนี้ คือการทำให้คนอื่นเสียหน้า หรือเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น แบนเพื่อนออกจากกลุ่ม สร้างข่าวลือให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย หรือกีดกันไม่ให้เขาหาเพื่อนได้นั่นเอง
ซึ่งจากงานวิจัยใหม่ของมหาวิทยาลัยมิสซูรี นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเก็บข้อมูลจากนักเรียน 14,000 คน จากโรงเรียน 26 แห่งของสหรัฐอเมริกา และพบว่า แม้แต่ในบรรดานักเรียนที่โดดเด่นในสังคมและมีแนวคิดสนับสนุนการกลั่นแกล้ง หลายๆ คนกลับไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าตนมีการกลั่นแกล้งทางสังคม
แม้ว่านักเรียนผู้นั้นจะไม่ได้เป็นผู้นำในการกลั่นแกล้ง แต่หลายคนก็มักจะมีทัศนคติไหลไปตามการกลั่นแกล้งของคนกลุ่มแรก และมักมีส่วนร่วมในการกลั่นแกล้งทางสังคมด้วย ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
นอกจากนี้ ในกลุ่มที่ระบุว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้นำการกลั่นแกล้ง และไม่มีทัศนคติสนับสนุนการกลั่นแกล้ง หลายคนยังมักวางตัวเป็นแค่คนดูต่อการกลั่นแกล้งทางสังคมอีกด้วย
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าหดหู่มาก เพราะมันหมายความว่าไม่เพียงแต่จะหมายความว่าการกลั่นแกล้งทางสังคมเป็นที่นิยมมากเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ผู้ทำไม่รู้ตัว คนรอบตัวสนับสนุน แถมคนผ่านไปมาไม่คิดจะช่วยอีกด้วย
ดังนั้นนักวิจัยจึงมองว่า คุณครู คุณพ่อคุณแม่ สามารถช่วยเหลือเด็กๆ ที่มีความเสี่ยงการโดนกลั่นแกล้งนี้ด้วยการช่วยให้เด็กมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
COMMENTS ARE OFF THIS POST