เวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยน การรับรู้ข้อมูลใหม่ๆ ก็มีส่วนทำให้ความคิดของคนเราเปลี่ยนไป ความเชื่อที่ปู่ย่าตายายเคยใช้ต่อๆ กันมา ก็ถูกคัดง้างด้วยข้อมูลที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ เปิดอ่านในอินเทอร์เน็ตบ้าง ไปถามคุณหมอมาบ้าง เมื่อต้องมาช่วยกันเลี้ยงดูเจ้าตัวเล็ก จึงอดไม่ได้ที่คุณแม่มือใหม่และย่ายายสุดเก๋าจะมีแนวทางการเลี้ยงดูไปคนละทิศละทาง
เพราะความสามารถของลูก ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ การควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย คลาน เดิน วิ่งเล่น รวมถึงการคิด วิเคราะห์ และวางแผนต่างๆ ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นได้จากการทำงานของอวัยวะที่เรียกว่า สมอง
เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้คนรุ่นปู่ย่าตายายกับคุณแม่รุ่นใหม่ มีวิธีการเลี้ยงเด็กที่แตกต่างกัน คุณแม่หลายบ้านต้องเผชิญปัญหาว่าจะทำอย่างไร เพื่อเปลี่ยนใจคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายให้เปิดใจยอมรับว่าความเชื่อและวิธีดั้งเดิมที่เคยทำมาก่อนนั้น ช่างขัดกับหลักการทางการแพทย์ในปัจจุบันเสียเหลือเกิน
กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจในวงการแม่และเด็กอีกครั้ง เมื่อคุณหมอออกมาเตือนว่า การบริจาคนมแม่อาจเป็นอันตรายต่อทารกผู้รับบริจาคได้ ทำให้หลายคนเกิดคำถามว่า ทำไมถึงให้ลูกกินนมคนอื่นไม่ได้…
เรารู้กันดีว่านมแม่คือภูมิต้านทานตามธรรมชาติที่เด็กจะได้รับจากแม่ได้ตั้งแต่แรกเกิด ระหว่างรอให้ร่างกายของเด็กเติบโตจนสร้างภูมิต้านทานขึ้นได้เอง… แล้วเจ้าภูมิต้านทานนี้สำคัญอย่างไร ทำไมนักวิทยาศาสตร์ถึงผลิตขึ้นมาทดแทนไม่ได้สักที…
จะให้ลูกน้อยของเรากินอะไรอย่างไหนดี เพราะใครๆ ก็ว่าแบบนั้นแบบนี้ดี เราเลยสรุปข้อมูลจาก คุณปัฐมาพร หงษ์สุวรรณ นักกำหนดอาหารวิชาชีพ ประจำโรงพยาบาลพญาไท 2 ให้ฟัง ว่าแต่ละแบบดียังไงและมีคำแนะนำเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง
คุยกับ พญ.อุรารมย์ พันธุมะผล กุมารแพทย์ทารกแรกเกิดและปริกำเนิด (โรงพยาบาลพญาไท 1) ผู้ยื้อชีวิตเด็กทารกที่เกิดจากการครรภ์เสี่ยงหรือการคลอดไม่ปกติเอาไว้
ถ้าไม่ก้าวเข้าสู่วงการการเป็นคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะก็ น้อยคนนักจะรู้ว่าธุรกิจและอาชีพบางอย่าง เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับความต้องการของบรรดาคุณพ่อคุณแม่โดยแท้